วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

โปรดเกล้าฯแล้ว สมชาย ลั่นทํางานซื่อสัตย์


หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเห็นชอบเลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง นายสมชายได้ ประกาศจะบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์และยึดหลักกฎหมายและคุณธรรมในการทำงาน
“สมชาย” ฟังปัญหาข้อพิพาทกัมพูชา
ความเคลื่อนไหวของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ภายหลัง ได้รับการโหวตจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 นั้น เมื่อวันที่ 18 ก.ย. เวลา 09.00 น. นายสมชายได้ออกจากบ้านพัก หมู่บ้านเบเวอร์รี่ฮิลล์ ถนนแจ้งวัฒนะ มาถึงกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อรับฟัง บรรยายสรุปงานด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ การดำเนินงานกรณีเขาพระวิหาร โดยมีนายวีรศักดิ์ ฟู- ตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศรายงาน ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการรองนายกฯและ รมว.คลัง เข้าร่วมฟังบรรยายด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นนายสมชายให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ นพ.สุรพงษ์ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงการต่างประเทศ ได้มาร่วมกันหาข้อมูล ปัญหาที่เกิดขึ้น เดิมอดีตรมว.ต่างประเทศได้เจรจาทวิภาคีกับฝ่ายกัมพูชาในปัญหาตามที่เป็นข่าว การเจรจาเป็น ไปได้ด้วยดี มีความเข้าใจ โดยประสงค์ให้มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันและขจัดปัญหาที่มีอยู่ การดำเนินการต่างๆเป็น ไปได้ด้วยดี และจะมีความเห็นแจ้งไปยังกัมพูชาว่า ไทย ยินดีจะเจรจาทำความเข้าใจ เพื่อความเข้าใจอันดีต่อกัน อาจจะมีการประชุมทวิภาคีในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในวันที่ 29 ก.ย. อาจจะใช้ช่วงเวลานั้น เพื่อประสานสัมพันธ์
รุกหารือคลังรับมือวิกฤติเศรษฐกิจ
ต่อมาเวลา 11.20 น. ที่กระทรวงการคลัง นายสมชาย พร้อมด้วย นพ.สุรพงษ์เดินทางมาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีกลุ่มบริษัทวณิชธนกิจยักษ์ใหญ่สหรัฐฯขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยเมื่อมาถึง ก่อนขึ้นห้องประชุม นพ.สุรพงษ์ได้พานายสมชายสักการะช้างคู่เอราวัณของกระทรวงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยมีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังให้การต้อนรับ ทั้งนี้ นพ.สุรพงษ์ ได้กล่าวกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช. คลัง ที่มายืนรอต้อนรับสั้นๆว่า “ไม่ต้องห่วง เขาคงมีคนมาทำหน้าที่แทนผม”
“สุรพงษ์” ประกาศยุติทุกตำแหน่ง
ต่อจากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี ได้เข้าหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลัง ถึงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯขาดสภาพคล่องทางการเงิน ใช้เวลานาน 1 ชั่วโมง ระหว่างการแถลงข่าว นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวถึงข่าวการวางมือไม่รับตำแหน่งใดๆในรัฐบาลชุดใหม่ว่า ส่วนตัวเคยแจ้งไว้กับนายกรัฐมนตรีว่ากรณีที่ตัวเองติดปัญหาคดีหวยบนดิน ในช่วงที่ผ่านมามีการประทับรับฟ้อง ของศาล แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่ได้มีการพิจารณาว่าผู้ที่ถูกร้องนั้นจะต้องยุติการทำ หน้าที่หรือไม่ ทำให้ยังมีความไม่ชัดเจนว่าการถูกฟ้องในตำแหน่งเดิม จะสามารถทำหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ได้ หรือไม่
“เมื่อมีการสรรหารัฐมนตรีชุดใหม่ ผมได้แจ้งความจำนงต่อที่ประชุมพรรคพลังประชาชนว่า เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจว่าผมยังยึดติดตำแหน่งหรือดื้อแพ่ง ไม่กังวลเกี่ยวกับการตีความเรื่องเหล่านี้ จึงขอที่จะเว้นวรรคหยุดในการที่จะเสนอชื่อของตัวเองทำหน้าที่ในตำแหน่งทางการเมืองไว้ชั่วคราวก่อน แต่ยังจะร่วมมือทำงานกับทุกคนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาบ้านเมืองต่อไป ยังไม่ห่างหายไปไหน ผมยังมีตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชาชนที่ยังไม่ได้ลาออก” นพ. สุรพงษ์กล่าว
“สมชาย” ลั่นจะขอให้อยู่ช่วยงานต่อ
ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่าจะขอให้ นพ.สุรพงษ์อยู่ต่อ เพราะเห็นว่าเป็นบุคลากรที่ดี มีความรู้ความสามารถ ทั้งนี้ เรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีตอนนี้ยังพูดไม่ได้ ต้องรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯก่อน ยังไม่สมควรพูดตอนนี้ หลังจากนั้นค่อยมาพูดกับท่านอีกที ผู้สื่อข่าวถามถึงรายชื่อของนายทนง พิทยะ อดีต รมว.คลัง ที่มีกระแสข่าวจะมาร่วมงานในตำแหน่ง รมว.คลัง นายสมชายตอบว่า ไม่รู้ว่าข่าวจากไหน ยังงงๆอยู่ เรื่อง ครม.ต้องรอการโปรดเกล้าฯก่อน
โยนเรื่องแก้ รธน.เป็นเรื่องรัฐสภา
จากนั้นเวลา 13.30 น. นายสมชายเดินทางมายังรัฐสภาเพื่อเซ็นชื่อเข้าร่วมประชุม พร้อมแวะทักทายบรรดา ส.ส.ที่มาประชุมครู่หนึ่ง โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก่อนเดินทางมาที่พรรคพลังประชาชน ทั้งนี้ นายสมชาย ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวในข้อเสนอต่างๆของพันธมิตรฯ ที่ถามว่า จะรับไปพิจารณาหรือไม่ว่า เราคนไทยด้วยกันทุกคนต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ คงจะหาช่องทางตรงนั้น อย่างไรก็ต้องช่วยพิจารณากันไปตามหลักเกณฑ์ เหตุผลที่ดีที่สุด เมื่อถามว่ากลุ่มพันธมิตรฯยืนกรานที่จะไม่ให้ แก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสมชายตอบว่า ความเห็นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมีมานาน แต่ยังไม่ตกผลึก ขอให้ใจเย็นๆ เป็นเรื่องของสภาฯไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล เมื่อถามว่าจะทบทวนการทำประชามติที่รัฐบาลนายสมัครเคยมีแนวทางไว้หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า หลังมีรัฐบาลใหม่คงจะชัดเจน ตอนนี้ยังพูดอะไรไม่ได้ โปรดเกล้าฯแล้วค่อย ว่ากัน ตนเป็นนักกฎหมาย เคร่งครัดเรื่องขั้นตอน
จัดสถานที่เตรียมรับราชโองการ
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานจากบ้านพักของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เลขที่ 222/92 ในหมู่บ้านเบเวอร์รี่ฮิลล์ ถนนแจ้งวัฒนะ ตั้งแต่ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่กองพิธีการสำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดเตรียมสถานที่ที่จะใช้ในการรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 โดยจะใช้บริเวณห้องโถงด้านหน้าของบ้านเป็นที่ตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ และโต๊ะสำหรับใช้ในพิธีรับพระบรมราชโองการ แต่โต๊ะที่เคยใช้ไม่สามารถนำออกจากทำเนียบรัฐบาลได้ ทางกองพิธีการจึงขอยืมจากรัฐสภา ส่วนธงประจำตัวนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ได้จัดทำขึ้นใหม่ สำหรับการเตรียมการรักษาความปลอดภัย พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น. ได้มาดูแลด้วยตนเอง โดยมีการจัดกำลังตำรวจดูแลตั้งแต่ซอยทางเข้าหมู่บ้านจนถึงบริเวณบ้านพัก ขณะเดียวกันได้มีการราดยางมะตอยที่ถนนบริเวณด้านหน้าหมู่บ้านเพิ่มเติมด้วย
ทั้งนี้ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยานายสมชายกล่าวเพียงสั้นๆ ถึงกรณีที่มีข่าวว่า นางเยาวภาจะไม่ให้ สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าจะทำงานเป็นแม่บ้าน ด้านนางสุทธิลักษณ์ ศรสำราญ น้องสาวนายสมชาย ก็ได้นำภาพสมัยที่นายสมชายเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ และสมัยเป็นนักศึกษาที่ ม.ธรรมศาสตร์ มาให้กับสื่อมวลชนดู โดยกล่าวว่าทางครอบครัวรู้สึกดีใจ ที่นายสมชายได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูล และที่ผ่านมา นายสมชายเป็นคนที่เรียนเก่งเรียนดีมาโดยตลอด
พี่ชายปลื้มเป็น 1 ใน 60 ล้านคนไทย


เวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังได้นำช่อดอกไม้จำนวน 5 ช่อ มาแสดงความยินดีกับนายสมชาย โดยเป็นของ รมว.คลัง 1 ช่อ รมช.คลัง 3 ช่อ ปลัดกระทรวงและข้าราชการ 1 ช่อ จากนั้นเวลา 14.15 น. นายเฉลิม วงศ์สวัสดิ์ พี่ชายของนายสมชาย ได้นำรูปครอบครัวออกมาให้สื่อมวลชนดู พร้อมกับกล่าวว่า นายสมชายเป็นคนชอบกินอาหารใต้ โดยเฉพาะคั่วกลิ้งหมูสับ แกงเหลือง และแกงไตปลา วันนี้ตนจึงได้สั่งอาหารใต้ที่กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นร้านอาหารที่นายสมชายชอบกิน มาเลี้ยงแขก และผู้สื่อข่าว ทั้งนี้ รู้สึกภูมิใจที่น้องชายก้าวมาถึงจุดสูงสุดในชีวิต นายสมชายเกิดตอนฟ้าสาง เป็นช่วงที่มีแสงทองจากพระอาทิตย์สาดส่องลงมา ซึ่งเป็นความเชื่อของคนใน จ.นครศรีธรรมราช ว่า เป็นเด็กที่มีบุญและจะได้เป็นใหญ่เป็นโต นายสมชายเป็นคนที่มีความจำดี ขยัน ที่ผ่านมาจึงได้ทุนเรียนฟรีตั้งแต่ ป. 4 และพ่ออยากให้เป็นผู้พิพากษา การก้าวมาถึงวันนี้ เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวอย่างมาก ถือเป็น 1 ใน 60 ล้านคน ที่ก้าวมาถึงจุดนี้ได้
คนร่วมแห่แสดงความยินดีคึกคัก
ต่อมาเวลา 16.10 น. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางมาที่บ้านพักของนายสมชาย เพื่อตรวจความเรียบร้อยในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนได้ทยอยเดินทางมาที่บ้านพักของนายสมชายตั้งแต่ช่วงบ่าย เพื่อร่วมแสดงความยินดีและเตรียมเข้าร่วมพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากกระทรวงต่างๆ ตัวแทนภาคเอกชน นักธุรกิจ ทยอยเดินทางมาร่วมงานคับคั่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากเสร็จภารกิจ นายสมชายได้เดินทางกลับถึงบ้านพัก ในเวลา 16.30 น. ท่าม กลางสื่อมวลชนที่รุมล้อมถ่ายภาพ โดยผู้สื่อข่าวถามว่า ตื่นเต้นหรือไม่ นายสมชายตอบว่า ไม่ตื่นเต้นแล้ว เมื่อถามว่า เหนื่อยหรือไม่ นายสมชายตอบว่า ถึงจะเหนื่อยแต่ก็เหนื่อยอย่างมีความสุข
เชียงใหม่เตรียมบายศรีสู่ขวัญนายกฯ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ว่า ในฐานะนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นเขยเชียงใหม่ ตนได้ประสานกับ ผวจ.เชียงใหม่ เพื่อจัดงานพิธีบายศรีสู่ขวัญ จะทำตามแบบพิธีของคนเหนือ คาดว่าจะมีประชาชนและคนเฒ่าคนแก่มาร่วมงานดังกล่าวด้วยจำนวนมาก ส่วนวันและเวลาที่เหมาะสมจะต้องกราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่าสะดวกช่วงไหน
“ชัย” นำชื่อ “สมชาย” ขึ้นทูลเกล้าฯถวาย
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 15.00 น. ที่รัฐสภา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานรัฐสภา ได้เดินทางออกจากรัฐสภาเพื่อเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยนำรายชื่อผู้ได้รับเลือกเป็นนายก รัฐมนตรี ขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โปรดเกล้าฯ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยนายชัยกล่าวว่า หลังจากทรงโปรดเกล้าฯแล้ว ตนพร้อมคณะจะนำพระบรมราชโองการฯไปยังบ้านของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี
“สมชาย” รับพระบรมราชโองการฯ
ต่อมาเวลา 18.54 น. นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา และนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ถึงบ้านพักของนายสมชาย โดยนายสมชายพร้อมครอบครัวรอรับร่วมพิธี โดยเมื่อเดินทางมาถึงนายพิทูรได้อ่านประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ใจความว่า (พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช ปร.พระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า ด้วยความเป็นรัฐมนตรี ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีได้สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 182 วรรค 1 (7) และประธานสภาผู้แทนราษฎรได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร จึงทรง พระราชดำริว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นผู้ที่สมควรไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งพระราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 18 กันยายน พุทธศักราช 2551 เป็นปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร
“สมชาย” จัดพิธีรับพระบรมราชโองการฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากอ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรถวายคำนับพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้ว จึงอัญเชิญพระบรมราชโองการฯไปวางที่โต๊ะหมู่บูชา ถวายคำนับ กลับไปยืนประจำที่ จากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ถวายคำนับ แล้วเดินออกไปยืนตรงกลางหน้าโต๊ะหมู่บูชา ถวายคำนับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปิดกรวยกระทงดอกไม้แล้วกราบ จากนั้นลุกขึ้นยืนถวายคำนับ จึงเป็นเสร็จพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จพิธีรับพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว นายชัย ชิดชอบ ได้เข้าไปแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีประมาณ 10 นาที โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้แจ้งกับนายกรัฐมนตรีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะรัฐมนตรีเร็วๆ และให้นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตนในวันที่ 22 ก.ย.นี้
ลั่นบริหารชาติยึดสุจริต-คุณธรรม
จากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงเปิดใจว่า “วันนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้ผมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ล้นพ้นหาที่สุดไม่ได้ในครั้งนี้ เป็นสิริมงคลแก่กระผมและครอบครัวอย่างสูงสุด กระผมจะขอเทิดทูนไว้เหนือชีวิตด้วยความจงรักภักดีตลอดไปพี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพทุกท่าน กระผมขอยืนยัน ณ โอกาสนี้ว่าจะบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยการทุ่มเทเสียสละด้วยวิริยะอุตสาหะ ด้วยความมีคุณธรรม ยึดมั่นในหลักกฎหมาย ยึดมั่นในหลักแห่งกระบวนการยุติธรรมเพื่อความเป็นธรรมเรียบร้อยในบ้านเมืองของเรา
เน้นปรองดองสมานฉันท์-ให้อภัย
“พี่น้องประชาชนที่เคารพ ขณะนี้ในประเทศบ้านเมืองของเรานั้นก็มีปัญหาที่จะต้องดำเนินการแก้ไข เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าบางครั้งเรามีความขัดแย้งทางความคิด ความขัดแย้งเหล่านั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่เราจะต้องมองว่าเกิดขึ้นแล้วทำอย่างไร จึงจะนำพาไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์และความเป็น ปึกแผ่นของบ้านเมืองเราต่อไป ผมคิดว่าสิ่งนี้คงต้องคิดกันอย่างรอบคอบและมีเหตุผล ผมประสงค์ที่จะให้พี่น้องประชาชนชาวไทยของเรา ได้กลับมาร่วมกันคิด คิดว่าความเป็นพี่เป็นน้องของเรานั้นจะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความเป็นชาติ ความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องประชาชนร่วมกันนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เราน่าจะหันหน้าเข้ามาสู่ความปรองดองความอะลุ่มอล่วยให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ถือโทษโกรธกันและจะต้องมีความเมตตาอารี เอื้ออาทรแก่กัน ผมคิดว่าสิ่งนี้ย่อมมีอยู่ในหัวใจของเราทุกคนว่าถ้าหากว่าเราได้ดำเนินการมีวิธีคิดที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม พ่อแม่พี่น้องเคารพทุกท่านครับ ผมคิดว่าหากเราได้ยึดหลักอย่างนี้แล้ว ประเทศชาติของเราจะกลับคืนมาสู่ความร่มเย็นเป็นสุขภายใต้พระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จะทำให้เราร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้พัฒนาถาวรต่อไป”
เร่งแก้ปัญหาศก.-ปากท้องชาวบ้าน
นายสมชายกล่าวต่อว่า ขณะนี้เรามีปัญหาอื่นๆที่จะต้องร่วมกันแก้ไขกันอีกมากมาย ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของพี่น้องของประชาชน ซึ่งรัฐบาลของตนที่จะได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ในเร็ววันนี้จะคำนึงถึงประโยชน์สุข ความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน เป้าหมายสูงสุดก็คือการร่วมกันนำพาประชาชนของเรา ประเทศชาติของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและวัฒนาถาวร เรามีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าหลายด้าน อย่างปัจจุบันนี้เรื่องเกี่ยวกับเงินทุนที่ค่อนข้างจะไหลเข้ามาน้อยในประเทศของเราหรือปัญหาที่บริษัทต่างชาติ ซึ่งมีเงินทุนจำนวนมากเกิดประสบความล้มเหลวในการบริหาร กระทบกระเทือนถึงภาวะเศรษฐกิจในบ้านเรา หลายสิ่งหลายอย่างเหล่านี้ผสมผสานกัน ตนคิดว่าถ้าหากไม่ช่วยกันแก้ไขแล้วใครจะมาช่วยเราแก้ไข คนไทยเท่านั้นที่จะต้องหันหน้าเข้าหากันและร่วมมือกันแก้ไขสิ่งซึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นในบ้านเรา
ขอคนไทยทั้งชาติรวมใจแก้ปัญหา
“ผมขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านช่วยกันครับ ทุกท่านเป็นหุ้นส่วนของประเทศของเรา รัฐบาลนั้นเป็นผู้มีหน้าที่ให้เกิดพลัง และผลักดันให้ประเทศชาติของเราได้เดินหน้าต่อไป แต่หากมีมุ่งมั่นอย่างไรก็ตาม ประชาชนในชาติไม่รักสามัคคีกัน ไม่ร่วมกันผลักดันแล้วก็คงสำเร็จลงไปได้ยาก ผมหวังว่าพี่น้องประชาชนทั้งหลายคงได้ร่วมกัน ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณประชาชนชาวไทยทุกท่านที่จะได้มีโอกาสเข้ามาร่วมกันนะครับ เข้ามาร่วมกันในการที่จะสรรค์สร้างความรักความสามัคคี ในการที่จะร่วมกันเสริมสร้างภาวะเศรษฐกิจที่ดีให้แก่บ้านเมืองของเรา ขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนเพื่อนข้าราชการที่จะได้นำเอานโยบายทั้งหลายความประสงค์ ของพี่น้องประชาชนทั้งหลายไปปฏิบัติการให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นถ้าทุกฝ่ายทุกท่านได้ร่วมมือกันแล้ว ผมมั่นใจว่าความประสงค์ของเราทุกคนจะประสบความสำเร็จพร้อมกันนำพาประเทศชาติของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในที่สุด ขอกราบขอบคุณทุกท่านครับ” นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 กล่าว
“ทักษิณ” พูดผ่านสื่อเทศอ้างถูกใส่ร้าย
วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก-รัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษสำนักข่าวรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ จากบ้านที่พักในย่านเซอร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ กรุงลอนดอน เมื่อ 18 ก.ย. หรือ 1 วัน ก่อนวันครบรอบ 2 ปี ที่เขาถูกก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อ 19 ก.ย. 2549 โดยกล่าวว่า การที่ตนถูกกล่าวหาในคดีคอรัปชัน เป็นส่วนหนึ่งของแผนสมรู้ร่วมคิดโดยเหล่าศัตรูทางการเมือง ตนจะไม่กลับมาสู้คดีในประเทศไทย คดีที่มีมูลเหตุจูงใจจากการเมืองต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมือง ตนถูกใส่ร้ายทางการเมือง จะกลับประเทศไทยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ตอนนี้ต้องทุ่มเทเวลาให้กับลูกๆและภรรยา ขณะใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ
งดพูดเรื่องน้องเขยนั่งนายกฯ
การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ภริยา ออกแถลงการณ์ เมื่อ 11 ส.ค. ว่าตนหนีประกันในคดีคอรัปชันไปอยู่ในอังกฤษ โดย พ.ต.ท.ทักษิณปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกรณีสภาผู้-แทนราษฎรลงมติเลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย เป็น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายสมัคร สุนทรเวช อย่างไร ก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณไม่วายกล่าวเสียดสีพันธมิตรประ-ชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กรณีที่ พธม.กล่าวหานายสมัครว่าเป็นหุ่นเชิดของตน และนายสมชายก็เป็นแค่ผู้นำคนใหม่ของกลุ่มโจร ว่า พธม.อยากพูดอะไรก็ให้พูดไป ต่อแต่นี้ไปทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการจะทำบนโลกนี้ คุณต้องได้รับอนุญาตจาก พธม.เสียก่อนจึงจะทำได้ พ.ต.ท.ทักษิณเผยด้วยว่า อยู่สุขสบายดีในบ้านพักที่อังกฤษ โดย น.ส.แพทองธาร ลูกสาวคนเล็ก กำลังจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ กิจวัตรประจำวันของตน คือการออกกำลังกายและไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูง ร่างกายตนแข็งแรงสมบูรณ์ดี แต่จิตใจไม่มีความสุข ใครที่ไม่ได้ ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับตนไม่รู้หรอกว่าตนรู้สึกอย่างไร
พ.ต.ท.ทักษิณยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับ การเจรจาขายสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ให้ บริษัทในอาบู ดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีรายงานว่า มีมูลค่าถึง 200 ล้านปอนด์ สูงกว่าที่ซื้อมาในราคา 81 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2550 อย่างมาก แต่ พ.ต.ท.ทักษิณเผยว่า ตนกำลังเฝ้าติดตามวิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด ขณะนี้มีโอกาสมากมายในสหรัฐอเมริกา แต่ เนื่องจากเงินของตนถูกอายัด ตนจึงไม่มีโอกาสเข้าไปแสวงหาประโยชน์จากโอกาสที่ว่านี้
พปช.ล่าชื่อต้าน “สุวิทย์” ร่วม ครม.
ด้านความเคลื่อนไหวแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีของกลุ่มต่างๆ ภายในพรรคพลังประชาชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีกระแสข่าวว่านายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรค เพื่อแผ่นดิน จะกลับมาเป็นรองนายกฯ และ รมว.อุตสาห-กรรมอีกครั้งในรัฐบาลนายสมชายนั้น ได้มี ส.ส.พลังประชาชน หลายคนเคลื่อนไหวต่อต้าน โดยมีนายจตุพร เจริญเชื้อ ส.ส.ขอนแก่น เป็นผู้รวบรวมรายชื่อ ส.ส.ที่ร่วมแสดงความไม่เห็นด้วยที่จะให้นายสุวิทย์มารับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะในสมัยเป็นรองนายกฯ และ รมว.อุตสาหกรรมในรัฐบาลสมัคร ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านใน ครม.มาตลอด เมื่อล่ารายชื่อเสร็จแล้ว ส.ส.กลุ่มดังกล่าวจะนำรายชื่อทั้งหมดมอบให้กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทันทีหลังจากที่นายสมชายได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯ ล่าสุดมี ส.ส.มาร่วมลงชื่อประมาณ 100 คนแล้ว
ชี้หมดความชอบธรรมขึ้นเป็น รมต.
นายปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ว่า ส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคร่วม ลงชื่อคัดค้านไม่ให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้เพราะไม่มีความชอบธรรม ที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศถอนตัวไม่ร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนจน ส.ส.ในพรรคเพื่อ-แผ่นดินไม่เห็นด้วย อีกทั้งยังฝักใฝ่กับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลวิจารณ์ว่ารัฐบาลพรรคพลังประชาชนจะไปไม่รอด ทั้งๆที่อยู่ใน ครม. ทุกคนรู้ดีว่าการที่นายสุวิทย์ไปนั่งประชุมกับแกนนำ เราก็รู้ดีว่าไปเพื่ออะไร ทั้งๆที่ไม่มี ส.ส.อยู่ในมือ ดังนั้น หากนายสุวิทย์แน่จริงให้ไปรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เพื่อแผ่นดิน มาสนับสนุนนายสุวิทย์เป็นรัฐ-มนตรี ทั้งนี้ มองว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่จำเป็นต้องมีนายสุวิทย์ มาร่วม ครม. รัฐบาลก็สามารถทำงานต่อไปได้
40 พปช.ประกาศต้าน “สุวิทย์”
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 16.30 น. ที่รัฐสภา นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส. อุดรธานี พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี ได้แถลงข่าว พร้อมนำรายชื่อ ส.ส.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะ ส.ส.ทั้งหมดของ จ.ขอนแก่น สังกัดพรรคพลังประชาชนจำนวน 40 คน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเพื่อนเนวิน มาแสดงต่อสื่อมวลชน โดยนายสุชาติกล่าวว่า ส.ส.ทั้งหมดได้ร่วมกันลงชื่อถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้พิจารณาบุคคลที่เหมาะสมจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมานายสุวิทย์มีพฤติกรรมที่ขัดขวางการทำงานของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช มาโดยตลอด และยังเคยประกาศถอนตัวจากรัฐบาลมาแล้ว โดยที่ ส.ส.ในพรรคเพื่อแผ่นดินเองไม่มีใครเห็นด้วย ที่สำคัญเป็นหัวหน้าพรรคที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ทำให้การเมืองไม่แข็งแรง อยากให้ผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชาชนคัดเลือกรัฐมนตรีที่รักบ้านเมืองรักประเทศ ไม่ใช่พอมีคนสะกิดอยู่ข้างหลังแล้วก็รีบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
อัดมีพฤติกรรมจ้องล้มรัฐบาล พปช.
เมื่อถามว่า คนที่สะกิดอยู่ข้างหลังหมายถึงใคร นายสุชาติตอบว่า ไม่รู้ว่านายสุวิทย์กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีอะไรถึงกันหรือเปล่า พฤติกรรมของนายสุวิทย์ขณะร่วมรัฐบาลได้แสดงออกถึง 2 ครั้งสองคราวว่ามีเจตนาที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ ขอย้ำว่าพวกตนไม่ได้ก้าวก่ายการคัดเลือกรัฐมนตรีภายในพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่มีเจตนาให้ดูที่ตัวบุคคลที่ผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชาชนจะเลือกเข้ามารับตำแหน่ง ควรเลือกคนที่รักบ้านเมืองจริงๆ ต้องการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองจริงๆเท่านั้น
ขณะที่นายวิเชียร ขาวขำ กล่าวเสริมว่า การล่าชื่อ ส.ส.เพื่อยื่นให้ผู้ใหญ่ของพรรคพิจารณาในครั้งนี้เป็นเรื่องภายในพรรคพลังประชาชนที่เห็นตรงกันในทุกภาค จึงได้ทำหนังสือถึงหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และรองเลขาธิการพรรคให้ทบทวนการจะแต่งตั้งนายสุวิทย์เข้ามาอีกเพราะคนผู้นี้ไม่เหมาะสมจะเป็นรัฐมนตรีใน ครม.ชุดนี้ เนื่องจากไม่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนในรัฐบาล เชื่อว่าผู้ใหญ่จะฟังเรา
มั่นใจ พผ.ไม่ถอนตัวร่วมรัฐบาล
เมื่อถามว่า การทำเช่นนี้ไม่เกรงว่าพรรคเพื่อแผ่นดินจะถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือ นายวิเชียรตอบว่า มั่นใจว่าพรรคเพื่อแผ่นดินจะไม่ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลแน่ เพราะคนในพรรคเพื่อแผ่นดินเองก็ไม่อยากให้นายสุวิทย์กลับมาเป็นรัฐมนตรีเช่นกัน เมื่อถามว่า คนในพรรคเพื่อแผ่นดินสนับสนุนให้ออกมาไล่นายสุวิทย์ด้วยหรือไม่ นายวิเชียรตอบว่า ก็ทำนองนั้น
“เด็กสุวิทย์” สวน พปช.อย่าก้าวก่าย
เย็นวันเดียวกัน นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท รองเลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน แถลงข่าวตอบโต้กรณีที่ 40 ส.ส.พรรคพลังประชาชนล่ารายชื่อไม่เอานายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นรัฐมนตรีว่า ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนไม่ ควรจะมาก้าวก่ายเรื่องภายในพรรคอื่น เพราะนายสุวิทย์เป็นหัวหน้าพรรค ที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม ส.ส.ของพรรคให้เป็นตัวแทนในการเจรจาเข้าร่วมรัฐบาล และพรรคเพื่อแผ่นดินก็ไม่มีเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล เพราะต้องการให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ด้วยดี ควรให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันบ้าง ส.ส.ขอนแก่นของพรรคพลังประชาชนก็น่าจะภูมิใจที่คน จ.ขอนแก่น ได้เป็นรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารประเทศ ถือเป็นเกียรติภูมิให้กับจังหวัด แต่ทำไมกลับเอาเรื่องส่วนตัวที่ต้องต่อสู้กันในการเลือกตั้งมาเป็นประเด็นต่อต้าน เพราะจริงๆแล้วนายสุวิทย์เองทำงานได้ดี ได้รับการยอมรับจากสังคมในระดับหนึ่ง ขอให้ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนที่ลงชื่อทั้ง 40 คนได้ทบทวนบทบาทของตัวเอง ไม่ควรจะมาก้าวก่ายแทรกแซงพรรคการเมืองอื่น
ระบุ “สุวิทย์” ไม่รับเก้าอี้ รมต.
ด้านนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน และ ส.ส.สัดส่วนกล่าวว่า การเคลื่อนไหวของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนถือเป็นเอกสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แต่พรรคพลังประชาชนเองต้องเคลียร์ในส่วนของพรรคตัวเองก่อนว่ามีความคิดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร เข้าใจว่านายสุวิทย์อาจจะไม่รับตำแหน่งใดๆก็ได้ เพราะทราบมาว่าอาจมีบุคคลอื่นซึ่งเป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อแผ่นดิน และมีคุณสมบัติเหมาะสมสามารถจะเป็นรัฐมนตรีแทนได้ เนื่องจากที่ผ่านมานายสุวิทย์เคยประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลสมัครมาแล้ว
“สุรพงษ์” พร้อมนั่งเลขาฯ พปช.ต่อ
วันเดียวกัน ที่กระทรวงการคลัง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้หารือภายในพรรคพลังประชาชนว่า ใครจะมานั่งในตำแหน่ง รมว.คลัง ส่วนชื่อที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์คือ นายทนง พิทยะ อดีต รมว.คลัง และนายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ไม่ทราบว่าใครให้ข่าว เพราะภายในพรรคยังไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้
“ส่วนบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่ง รมว.คลังนั้น ต้องเป็นคนที่พรรคหามา หรือเป็นบุคคลภายในพรรคและต้องมีความรู้ความสามารถด้านเงินการคลัง ส่วนผมนั้นแม้จะไม่ได้นั่งตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลใหม่ แต่ยังอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคและขอยืนยันว่า พรรคไม่ได้มีการแตกแยกหรือชิงตำแหน่งกันเอง แต่เป็นเรื่องปกติหากการจัดสรรบุคคลที่เหมาะสมยังไม่ลงตัว หรือไม่มีความชัดเจน ก็มีข่าวเรื่องจัดโควตาตามกลุ่มก้อนต่างๆ” นพ.สุรพงษ์กล่าว
พปช.วอนเลี้ยบทบทวนท่าที
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.00 น. ที่พรรคพลังประชาชน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน และกลุ่มเพื่อนเนวิน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรค ประกาศไม่รับตำแหน่งในรัฐบาลนายสมชายว่า นพ.สุรพงษ์ได้ย้ำหลายครั้งว่าจะไม่รับตำแหน่งใน ครม.ชุดนี้ ล่าสุดได้กล่าวในที่ประชุมพรรคพลังประชาชนว่าต้องการกลับไปช่วยธุรกิจ ครอบครัว ถ้าเลือกได้ก็อยากจะตัดสินใจเลือกทางที่ไม่ทำให้เกิดปัญหากับครอบครัว ทั้งนี้ พวกเรายังคิดว่า นพ.สุรพงษ์จะเปลี่ยนใจกลับเข้ามารับตำแหน่งได้ เพราะที่ผ่านมาได้ต่อสู้ร่วมกับพรรคมาอย่างต่อเนื่อง และในเวลานี้ไม่ควรมีใครที่จะกระโดดหนีไป ต้องอยู่ช่วยกันนำรัฐนาวานี้ไปให้ตลอดรอดฝั˜ง พวกเรา ส.ส.อีสานทุกคนพร้อมที่จะสนับสนุนทางการเมืองกับนพ.สุรพงษ์ ให้เดินหน้าต่อไปอยู่แล้ว หาก นพ.สุรพงษ์ไม่รับตำแหน่งเท่ากับว่าพรรคต้องสูญเสียบุคลากรคนสำคัญที่จะเข้าไปช่วยงานบริหารไป แต่ขณะนี้ยังเชื่อว่านพ.สุรพงษ์ อาจจะเปลี่ยนใจกลับมารับตำแหน่งได้ โดยผู้ใหญ่ของพรรคคงจะมีการพูดจากับนพ.สุรพงษ์ อีกครั้ง ฟังความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
โวมีความชำนาญการเมือง-เศรษฐกิจ
ด้านนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า อยากให้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อยู่ช่วยประคับประคองรัฐบาลต่อไป เพราะมีความชำนาญด้านเศรษฐกิจและการเมือง ที่จะเป็นทีมงานช่วยประคับ ประคอง ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ทำงานได้ดี ครบถ้วนรอบด้าน ดังนั้นอยากให้ นพ.สุรพงษ์ ทบทวนการตัดสินใจดังกล่าว วันนี้พวกเราต้องลืมเรื่องที่ผ่านมาแล้วเดินต่อไปข้างหน้า ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคนั้น ยังไม่ทราบว่า นพ.สุรพงษ์จะงดรับตำแหน่งดังกล่าวด้วยหรือไม่
กลุ่มเพื่อนเนวินร้าว ส.ส.รุมโวย
ขณะที่นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคพลังประชาชน กลุ่มเพื่อนเนวิน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มเพื่อเนวินเตรียมจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีตามโควตาที่ได้มาให้ ส.ส.ว่า ที่ผ่านมาทุกคนรู้ว่าการที่ตั้ง ส.ส. 4 คนเดิมไปเป็นรัฐมนตรีในช่วงนั้น พวกเราเข้าใจดีในสถานการณ์ทางการเมือง แต่การจัดสรรเก้าอี้ ครม.ครั้งนี้สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว การพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรีต้องดูความเหมาะสมตามองค์ประกอบหลายอย่าง เหมือนประกาศทีโออาร์คุณสมบัติของรัฐมนตรีต้องมีพูดถึงพรรษาทางการเมือง ประสบการณ์ทางการเมือง องค์ความรู้ ไม่ใช่ใช้วิธีที่ไม่มีกฎเกณฑ์ ใครมีเงินเยอะ มี ส.ส.สนับสนุนแล้วเข้าสู่ตำแหน่งได้มันก็ไม่ชอบธรรม เนื่องจากภาพลักษณ์ของกลุ่มเพื่อนเนวินในวันนี้ ถูกมองว่าเป็นกบฏในพรรคพลังประชาชน ทั้งที่เราไม่ได้เป็นกบฏ ไม่ได้เกเร สั่งซ้ายก็ได้สั่งขวาก็ได้ แต่ได้ทำเพื่อความถูกต้อง ส.ส.ทุกคนมีวุฒิภาวะ มีความรับผิดชอบ ดังนั้น การวางคนเข้าสู่ตำแหน่งผู้ใหญ่ในพรรคต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของกลุ่มด้วย อย่างไรก็ตาม ขอเรียกร้องให้กลุ่มเพื่อนเนวินได้เรียกประชุม เพื่อให้ ส.ส. ที่เป็นแคนดิเดตที่จะเป็นรัฐมนตรีในกลุ่มได้รับการพิจารณา
ประกาศลั่นต้องหักดิบปลด 4 รมช.
“ต้องพิจารณาว่าคนที่จะเป็นรัฐมนตรีจะวางกฎเกณฑ์อย่างไร จะตั้งคนที่ใกล้ชิดใคร หรือตั้งคนที่มีคนลงชื่อสนับสนุนซึ่งกันและกันมาก มันไม่มีกฎเกณฑ์ เอาภาพลักษณ์ของเจ้าบุญทุ่มมาเป็นรัฐมนตรี ทำให้ถูกมองว่าเป็นวังวนการเมืองน้ำเน่า ทำให้คนที่มีความรู้ มีประสบการณ์ทางการเมืองไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรี ที่ผ่านมาการตั้ง 4 รัฐมนตรีในกลุ่มเพื่อนเนวินยังรับได้ เพราะเขาเคยทำงานรับใช้ผู้ใหญ่ในพรรคมา เราก็หยวนๆกันไป แต่การตั้งรัฐมนตรีครั้งนี้ โดยยังยืนยันเอาคนเดิม 4 คนไม่เปลี่ยนแปลง ผมคิดว่ามีปัญหาแน่นอน เพราะไม่สามารถอธิบายเหตุผลของกลุ่มได้ว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเป็นคนนี้ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์การตั้งจะทำให้เป็นข้อข้องใจของสมาชิก ผมจึงขอสนับสนุนให้เปลี่ยนคน เพื่อเปรียบเทียบการทำงานกับรัฐมนตรีคนเก่าได้มากน้อยแค่ไหน มันจะเกิดหมุนเวียนในกลุ่มผลัดเปลี่ยนกันไป เพราะวันนี้การเมืองคงจะอยู่ได้ไม่นานแน่” นายไชยากล่าว
แฉในกลุ่มตั้งโต๊ะล่าชื่อหนุนเป็น รมต.
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการปรับรัฐมนตรีกลุ่มเพื่อนเนวิน 3 ตำแหน่ง ทั้งนายสุพล ฟองงาม รักษาการ รมช.มหาดไทย นายธีระชัย แสนแก้ว รักษาการ รมช.เกษตรฯ นายพงศกร อรรณนพพร รักษาการ รมช.ศึกษาฯ นายไชยาตอบว่า ขอเสนอให้เปลี่ยนทั้ง 4 คน เพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสทำงานบ้าง เมื่อถามว่า รวมถึงนายทรงศักดิ์ ทองศรี รักษาการ รมช.คมนาคมด้วย นายไชยาตอบว่า ไม่เกี่ยว แต่ในหลักการขอเสนอให้เปลี่ยน 4 คน และให้รีบเรียกประชุมวางกฎเกณฑ์ ไม่ใช่ไปมุบมิบตั้งกัน แบบนี้มันไม่แฟร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มี ส.ส.ในกลุ่มเริ่มล่ารายชื่อให้สนับสนุนเป็นรัฐมนตรี วิธีการแบบนี้ไม่ใช่การเมืองสมัยใหม่ ยังวนเวียนแบบน้ำเน่าอยู่ ที่พูดไม่ใช่เข้าข้างตัวเองหรือมีความกระสัน เพียงแค่ใครขึ้นมาเป็นก็ได้ แต่ต้องอธิบายด้วยเหตุด้วยผล อีกทั้งการเมืองในพรรคเป็นเรื่องที่ดีที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ไปพูดในกลุ่มเพื่อนเนวินว่าจะปรับองค์กรของพรรค ให้ความสำคัญต่อทุกคน ไม่ได้เน้นที่กลุ่ม ดังนั้น การจะสร้างพรรคให้เป็นเอกภาพ เป็นที่ยึดเหนี่ยวกัน นักการเมืองต้องปรับตัว มันไม่ใช่นำปัจจัยอื่นมายึดเหนี่ยวกัน จะทำให้พรรคเป็นสถาบันไม่ได้
เล็งยึด มท.สลายฐาน “เนวิน”
ทางความคืบหน้าในการวางตัวบุคคลเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลสมชาย ในส่วนของพรรคพลังประชาชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ได้ขอนั่งรองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม แต่แกนนำพรรคเห็นว่าอาจจะให้ไปนั่งเป็นรองนายกฯหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเล็ก และกำลังพิจารณาที่จะให้นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รักษาการ รมว.ยุติธรรม ไปนั่ง รมว.มหาดไทย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือเลือกตั้งใหญ่และต้องการที่จะสลายเครือข่ายฐานกลุ่มเพื่อนเนวิน ส่วนโควตาของกลุ่มเพื่อนเนวินนั้น ล่าสุดมีความเป็นไปได้สูงที่นายสุพล ฟองงาม รักษาการ รมช.มหาดไทย จะหลุดตำแหน่ง เพราะเดิมเป็นโควตากลางแต่แอบอ้างเป็นโควตาของกลุ่มเพื่อนเนวิน ดังนั้น จะยึดคืนเป็นโควตากลาง ขณะที่นายธีระชัย แสนแก้ว รักษาการ รมช.เกษตรฯ มีแนวโน้มสูงที่จะหลุดตำแหน่งเช่นกัน เพื่อสลับให้ ส.ส.ในกลุ่มขึ้นเป็นแทน ทั้งนี้ ตำแหน่งต่างๆ จะมีการพิจารณาโดยแกนนำของพรรคอาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรค เมื่อพิจารณาเสร็จเรียบร้อยจะแจ้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ รับทราบด้วย
“สมชาย” เดินสายพบอดีตนายกฯ
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รอง เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่า ภายในพรรคพลังประชาชนอาจมีการเปลี่ยนแปลง 4-5 ตำแหน่ง แทนรัฐมนตรีเดิมที่ประสงค์ จะไม่รับตำแหน่ง อาทิ นายสมัคร สุนทรเวช นายสหัส บัณฑิตกุล และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อถามว่า จะมี การทาบทามบุคคลภายนอกเข้ามารับตำแหน่งหรือไม่ นายสุขุมพงศ์ตอบว่า ขณะนี้มีการพิจารณาบุคคลภายนอกมาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ และ รมว.คลังแล้ว ส่วนตำแหน่ง รมว.กลาโหมจะเป็นบุคคลภายในพรรคแน่ อาจ จะเป็นอดีตนายทหารภายในพรรค และมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะให้นายสมชายควบตำแหน่งนี้ถ้ายังไม่มีข้อยุติ สำหรับภายในพรรคร่วมรัฐบาลตนเชื่อว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงโควตารัฐมนตรี และน่าจะได้ข้อสรุปรายชื่อคณะรัฐมนตรีได้ภายใน 1-2 วัน หลังการโปรดเกล้าฯแล้วนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะเดินทางไปพบอดีตนายกรัฐมนตรี หลายคน อาทิ นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา และนายสมัคร สุนทรเวช เพื่อขอคำแนะนำและคำปรึกษารวมทั้งจะประสานงานกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อหาทางออกในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้วย
“เติ้ง” ยันไม่มีโควตา รมต.เพิ่ม
ทางด้านความเคลื่อนไหวของพรรคชาติไทย วันเดียวกัน นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวถึงตำแหน่ง ครม.ของพรรคว่า ยืนยันว่าตำแหน่งรัฐ-มนตรีของพรรคชาติไทยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โควตา กระทรวงเหมือนเดิม จำนวนคนก็เหมือนเดิม จะได้หมดข้อกังขาและไม่เคยเรียกร้องกระทรวงใดมาแทนที่ เมื่อถามว่า เรื่องตัวบุคคลที่นั่งรัฐมนตรียังเหมือนเดิมหรือไม่
นายบรรหารตอบว่า ตอนนี้ยังไม่พิจารณาแต่เข้าใจว่าจะเป็นเหมือนเดิม ไม่ต้องมาถามอีก เมื่อถามว่า จะฝากไปยังพรรคพลังประชาชนในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร นายบรรหารตอบว่า รู้สึกเห็นใจ เพราะมีสมาชิกจำนวนมาก มีหลายกลุ่ม เพราะฉะนั้นก็คงใช้วิธีการผสมผสานในแต่ ละกลุ่มให้ลงตัว แนวทางเดิมมีอยู่แล้วใครอยู่ตรงไหนก็ ว่ากันให้ชัดเจน น่าจะปรับเปลี่ยนตัวบุคคลจะเหมาะสมกว่า โดยต้องเลือกบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ
ขอนายกฯใหม่ช่วยด่วนเรื่องน้ำท่วม
เมื่อถามว่า มีอะไรจะฝากถึงนายกฯคนใหม่หรือไม่ นายบรรหารตอบว่า เป็นบุคลิกที่ดี หลังจากการโหวตนายกฯเมื่อวันที่ 17 ก.ย. กล่าวขอบคุณแล้วรีบเดินไปหาผู้นำฝ่ายค้าน ถือเป็นมิติที่ดีและเป็นคนใต้ด้วย จะผสม ผสานดูจากการทำงานในทิศทางที่ดีได้ รวมทั้งไปขอบคุณหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆด้วย รู้สึกมือไม้ท่านอ่อน คิดว่าใช้ได้ ทั้งนี้ งานเร่งด่วนที่อยากให้ทำคือปัญหาน้ำท่วม น้ำจากทางเหนือกำลังจะมา และวางแผนหามาตรการช่วย เหลือหลังจากน้ำลด และการชุมนุมของพันธมิตรถือเป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับรัฐบาล ต้องหาทางเจรจาตกลงกัน และหาข้อมูล อะไรทำได้ก็บอกเขาว่าทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ก็บอกว่ายังทำไม่ได้ คนเราถ้าเป็นคนไทยด้วยกันแล้วก็น่าจะพูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง


แหล่งที่มา หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ



นางสาวศุภิสรา ประธาน

ID:5131601188

sec.1

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

สมชายนั่งนายกฯคนที่26 ด้วยคะแนน 298 เสียง



สมชาย” นั่งนายกฯ คนที่ 26 ด้วยคะแนนเสียง 298 เสียง

วันนี้ (17 ก.ย.) บรรยากาศการประชุมสภาฯ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีแทนนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกมาเซ็นชื่อเข้าประชุมแล้ว 425 คน ถือว่าครบองค์ประชุม และเกินกึ่งหนึ่ง ล่าสุด ผลคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ปรากฏว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ 298 คะแนน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ 163 คะแนน งดออกเสียง 5 คน ทำให้นายสมชายได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงถือได้ว่านายสมชายได้รับความเห็นชอบมติของสภาฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีผู้จัดการออนไลน์
นางสาวศุภิสรา ประธาน
ID:5131601188
sec.1

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

“ในหลวง” ทรงแนะตุลาการศาลปกครองทำหน้าที่ซื่อสัตย์-เป็นตัวอย่างคนทำดี


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองชั้นต้น เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ในการนี้ทรงมีพระบรมราโชวาทให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประเทศชาติ และเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่จะทำดีต่อไป
เมื่อเวลา 17.27 น.วันนี้ (15 ก.ย.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองชั้นต้นเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ นางสาวพรทิพย์ ทองดี เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย ในการนี้ ได้มีพระบรมราโชวาทให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประเทศชาติ และเป็นตัวอย่างแก่ประชาชนทั่วไป “ข้าพเจ้ายินดีที่ได้ฟังท่านผู้เป็นผู้พิพากษาศาลปกครอง ซึ่งได้ทำการปฏิญาณตนว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อความร่มเย็นของประเทศชาติ การจะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตนั้นสำคัญ เพราะว่าประชาชนต้องการความซื่อสัตย์สุจริต แล้วถ้ามีผู้ที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตนั้น ก็ทำให้สบายใจ และสามารถที่จะปฏิบัติงานต่างๆ ของประชาชนได้โดยดี ท่านก็จะต้องปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตดังกล่าวนี้ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประเทศชาติ ท่านมีจำนวนไม่มากนัก แต่ว่าก็นับว่าเป็นจำนวนที่สำคัญ เพราะว่าท่านมีความรู้ ท่านสามารถที่จะแสดงความรู้นี้ และทำให้ประชาชนดูผู้ที่ปฏิบัติดีเป็นตัวอย่าง ในเวลาเดียวกัน ท่านก็เป็นตัวอย่างกับผู้ที่ทำหน้าที่ต่อไปด้วย ฉะนั้น ที่ท่านได้ปฏิญาณตนเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องปฏิบัติตามที่ท่านปฏิญาณ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามที่ท่านปฏิญาณ ก็ทำให้คนเขาเสียใจ คนผิดหวัง ถ้าคนผิดหวัง เป็นอันตรายมากสำหรับการปกครองประเทศ และความเป็นอยู่ของประเทศ ก็ขอให้ท่านได้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ท่านได้ตั้งเอาไว้แก่ตัว เพื่อที่จะให้เป็นตัวอย่าง เพื่อที่จะให้ทุกคนมองว่า มีผู้ที่ปฏิบัติตัวด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นธรรมดา เป็นธรรมดานี้แหละสำคัญ เพราะว่าแสดงว่าท่านทำความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่มีหน้าที่ ทำให้ผู้ที่เป็นประชาชนทั่วๆ ไป ก็จะได้ทำงานอะไรด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถือว่าเป็นหน้าที่เหมือนกัน ก็ขอให้ท่านเข้าใจที่พูดนี้ว่า สำคัญแค่ไหน ถ้าท่านเข้าใจและปฏิบัติ ท่านจะเป็นผู้ที่ได้ช่วยประเทศชาติอย่างดี ได้ทำหน้าที่สำหรับเป็นตัวอย่าง ทำหน้าที่สำหรับเป็นผู้ที่เรียกว่า คนดี และก็ได้ทำหน้าที่ด้วยความดี เพื่อที่จะมีคนที่ดี ท่านมีจำนวนไม่มาก แต่เมื่อผู้ที่ได้เห็น ได้ทำตาม มีจำนวนเป็นหลายร้อย หลายพัน เป็นหลายหมื่น หรือถ้าทุกคนทำตาม ทำหน้าที่ตามวิธีที่ท่านทำ บ้านเมืองคงอยู่รอดได้ ไม่มีปัญหา”
นาย พงศธร สายเพ็ชร์ 5131601128 Sec.1

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

ตำรวจได้ฤกษ์กุดหัว “จักรภพ” ผบ.ตร.สั่งฟ้องหมิ่นเบื้องสูงแล้ว!


ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในความเห็นสั่งฟ้อง “จักรภพ เพ็ญแข” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว รอให้ทาง บช.ก.นัดหมายกับเจ้าตัว ส่งให้อัยการ ระบุหมดหน้าที่ของพนักงานสอบสวนแล้ว วันนี้ (15 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ต่อนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้ลงนามมีความเห็นสั่งฟ้องตามที่คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.เป็นประธาน โดยขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อทำการนัดหมายกับนายจักรภพ เพ็ญแข เพื่อประสานงานเรื่องการนัดวันและเวลา ในการส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปให้กับอัยการต่อไป “เมื่อสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการของอัยการแล้ว ก็ถือได้ว่าภาระหน้าที่ของพนักงานสอบสวนก็เป็นการเสร็จสิ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกไม่นาน” พล.ต.ต.สุรพลกล่าว ทั้งนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข ถูก พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ.2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน แจ้งความจับเมื่อวันที่ 24 มี.ค. โดย พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์เข้าพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล พนักงานสอบสวน (สบ.2) กลุ่มงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีที่ นายจักรภพแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตยระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย โดยนำแผ่นดีวีดีบันทึกการแถลงข่าวพร้อมกับเอกสารคำแปลภาษาจากอังกฤษเป็นภาษาไทยตามเนื้อหาในแผ่นดีวีดีดังกล่าวมอบให้แก่พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นมีผู้เชี่ยวชาญภาษาหลายฝ่ายได้แปลคำปราศรัยของนายจักรภพ ซึ่งส่วนใหญ่มีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกัน ยกเว้นคำแปลของตัวนายจักรภพเอง จนกระทั่งมีความเห็นจาก ผบ.ตร.ที่ลงนาามสั่งฟ้องในวันนี้
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวคุณภาพจากผู้จัดการออนไลน์
นางสาว พิมลพรรณ น้อยสะป๋ง
ID 5131202034

เหตุผลที่ คุณ สมชาย เหมาะที่จะเป็นนายก

ข้อดี

1.ไม่มีคดี
2.เป็นอดีตผู้พิพากษา น่าจะได้รับความเข้าใจ ความเห็นใจ จากบันดาเหล่าตุลาการ ที่ดูเหมือนจะมีเอียง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ในคดียุบพรรคบ้าง
3. เป็นคนใต้ ซึ่งจะช่วยลดแรงต้านจากพี่น้องชาวใต้ และลดการยกกำลังพลเข้ากรุงเพื่อช่วยเหล่า กบฎทั้ง 9 ได้
4. น่าจะคุยกับพรรค ส.ต.อ.ได้ง่ายหน่อย
5. น่าจะทำให้ ท่านสะพานติณฯ(เข้าใจป่าวเนี่ย??) ลดความเครียดแค้นลงได้ ลดแรงต้าน อีกทั้งอาจเป็นผลดีต่ออดีตนายกในเรื่องนี้ เพราะเป็นคนใต้เหมือนกัน

ข้อเสีย

1. เป็นน้องเขยอดีตนายกทักษิณ ถูกกล่าวหาว่านอมินี แน่นอน และกล่าวหาว่าช่วยอดีตนายกแน่นอน (แก้โดย แจ้งให้ประชาชนทราบว่าถ้าช่วยได้จริงคดีคงไม่ไปรออยู่ในศาลเยอะแยะหรอก)
2. เคยให้สัมภาษณ์ ว่านักเรียนไม่ควรมาร่วมประท้วง (ประมาณนี้) อาจทำให้พวกกบฏนำมาโจมตีและเรียกกระแสนักเรียนอีก (ไม่น่าจะเรียกขึ้น)





นางสาวภูริดา จุลกะรัตน์ 5131601155 Sec.1


วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

พรรคพลังประชาชน เสนอ สมชาย ชิงนายกฯ คนเดียว

แกนนำพรรคพลังประชาชน ร่วมเข้าประชุมกรรมการบริหารพรรคแล้ว โดย พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว ระบุที่ประชุมเสนอชื่อ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" ชิงนายกรัฐมนตรีเพียงรายชื่อเดียวเท่านั้น




การประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน เริ่มขึ้นแล้ว โดยมีกรรมการบริหารพรรค ทยอยเดินทางมาถึง อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ และรองหัวหน้าพรรค พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรค ซึ่งได้เปิดเผยก่อนเข้าร่วมประชุมว่า วันนี้จะเสนอชื่อ นายสมชาย เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงชื่อเดียว โดยกลุ่มที่สนับสนุน นายสมชายนั้น พร้อมจะย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่า พรรคพลังประชาชน จะถูกยุบอย่างแน่นอน โดยไม่ใช่ การข่มขู่แต่อย่างใด รวมทั้งยังเชื่อมั่นด้วยว่า นายสมชาย จะสามารถประครองบ้านเมืองให้ผ่านสถานการณ์วิกฤติไปได้ อย่างไรนั้น ภายหลังได้ข้อสรุปในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคแล้ว จะนำเจ้าสู่ที่ประชุม ส.ส.ของพรรค ในช่วงบ่ายต่อไป

ขณะบรรยากาศ ณ ที่ทำการพรรคพลังประชาชน อาคาร ไอเอฟซีที เป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องด้วยในวันนี้จะมีการประชุมพรรคเพื่อคัดเลือกตัวบุคคลที่เหมาะสม ใน 3 ส. ดำรงตำแหน่งนายกฯ คนที่ 26 แทน นายสมัคร สุนทรเวช ที่ถูกศาลตัดสินขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ เนื่องจากจัดรายการชิมไปบ่นไป และยกโขยง 6 โมงเช้า ขัดรัฐธรรมนูญ โดยมีแกนนำและสมาชิกพรรค ทยอยเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯพ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรค และ นายสุนัย จุลพงษธร ส.ส. สัดส่วน ทั้งนี้คงต้องจับตาดูว่า การประชุม พรรรควันนี้ บุคคลที่จะเป็นนายกฯคนต่อไป คือใคร และจะอยู่ใน 3 ส. หรือไม่


ข้อมูลข่าวจาก http://www.kapook.com/
ข้อมูลภาพจาก หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก

MISS EI TIP ID 5131202091

พันธมิตร ประกาศต้องรัฐบาล ประชาภิวัฒน์เท่านั้น

"พันธมิตร" ออกแถลงการณ์ไม่เอา "นายกฯ หุ่นเชิด"



ประกาศต้อง "รัฐบาลประชาภิวัฒน์" เท่านั้น




พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ ยืนยันสิทธิชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลต่อ พร้อมย้ำจุดยืนพันธมิตรฯ ไม่เอานายกฯ หุ่นเชิด ไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ ที่ให้ทุกพรรคมาสมยอมกันโดยขาดการตรวจสอบ ไม่เอาคนตระบัดสัตย์ พร้อมต่อต้านรัฐประหารเพื่อตัวเอง และพวกพ้อง เสนอทางออกต้องเป็นรัฐบาล "ประชาภิวัฒน์" ส่งเสริมคนดีมาปกครอง พร้อมปฏิรูปการเมือง จัดตั้ง "สภาประชาภิวัฒน์" เมื่อเวลา 21.25 น.

วันที่ 14 กันยายน นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นในที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่ออ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 22/2551 ของพันธมิตรฯ เพื่อประกาศจุดยืนกรณีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ดังนี้ แถลงการณ์ ฉบับที่ 22/2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง "รัฐบาลประชาภิวัฒน์เท่านั้นที่จะแก้ไขวิกฤตชาติได้" ตามที่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2551 โดยในข้อที่ 3 ในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวได้ระบุจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า "เพื่อคลี่คลายวิกฤตที่สุดในโลก และมิให้ประเทศชาติล่มจมต่อไป พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงขอเตือนต่อสภาผู้แทนราษฎรให้สนับสนุนคนดีให้มีอำนาจ และปกป้องมิให้คนไม่ดีมีอำนาจ อย่าได้นำเสนอชื่อบุคคลใดก็ตามที่มีประวัติด่างพร้อย กระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตระบัดสัตย์ต่อมวลมหาชน แสดงพฤติกรรมเป็นหุ่นเชิดเพื่อช่วยเหลือ หรือปกป้องผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายในระบอบทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีอีกเป็นอันขาด"

บัดนี้ ได้เกิดขบวนการและความพยายามในการบิดเบือนข้อมูล แอบอ้างความเรียบร้อยและความสงบเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงเพื่อมิให้ประชาชนสนใจต่อนักการเมืองที่ไร้จริยธรรม ทุจริตคอร์รัปชัน ขายชาติ และย่ำยีกฎหมาย พร้อมๆ กับความพยายามที่จะนำเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหุ่นเชิด เพื่อให้พรรคพลังประชาชนแสวงประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวไม่มีสิ้นสุด ดำรงวิกฤตที่สุดในโลก และความล่มจมประเทศชาติต่อไป ไม่ว่าจะเป็น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้เป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีภรรยา ถูกกล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตคอร์รัปชัน และร่ำรวยผิดปกติ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรมหุ่นเชิด ผู้ที่ได้โยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดี พิเศษให้เป็นคนใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือครอบครัวชินวัตร หรือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้ที่มีประวัติด่างพร้อยร่วมกับรัฐบาลทักษิณออกสลากพิเศษ 2 ตัว และ 3 ตัวโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนแสดงพฤติกรรมช่วยเหลือในการคืนเงินที่อายัดให้กับครอบครัวชินวัตร ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่เคยแสดงจุดยืนตามข้อ 5 ของแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 ดังนี้

1. ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 พยายามแก้ไขเพื่อฟอกความผิด ที่กระทำสำเร็จไปแล้วให้กับตัวเองและพวกพ้อง พยายามแก้ไขเพื่อการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ของนักการเมือง พยายามแก้ไขเพื่อลดพระราชอำนาจ หรือโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2. ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการสะสางปัญหาความอยุติธรรม และคืนความยุติธรรมทั้งหลายให้กับสังคม ด้วยความจริงใจ ได้แก่

- ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการเร่งรัดดำเนินคดีความต่อ นายจักรภพ เพ็ญแข นายวีระ มุสิกพงศ์ ฯลฯ เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุชุมชน และขบวนการดูหมิ่นและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งหมดโดยเร็ว

- ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการเร่งรัดคดีทุจริตคอร์รัปชัน ให้เข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล โดยปราศจากการแทรกแซงทั้งทางตรงและทางอ้อม และยึดทรัพย์สินที่โกงชาติไปกลับมาเป็นของรัฐ

- ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการเร่งรัดยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและภรรยา

- ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ส่งตัวผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดินมาดำเนินคดีในประเทศไทย

- ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการประกาศยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ยกปราสาทพระวิหาร และพื้นทีโดยรอบให้กับกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว และไม่แสดงจุดยืนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งดินแดน และแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทยจนถึงที่สุด

- ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการเร่งรัดดำเนินคดีความ และลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนอันธพาลการเมืองของรัฐบาล ที่คุกคามทำร้ายร่างกายและทรัพย์สินของผู้ชุมนุม

- ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการยุติการใช้สื่อของรัฐในการโฆษณาชวนเชื่อและโกหกหลอกลวงประชาชน โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีที

- ไม่ยอมและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการประกาศยกเลิกโครงการที่ใช้จ่ายเกินตัวและไม่โปร่งใสที่จะทำให้ชาติล่มจม เช่น โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ฯลฯ โดยทันที

- ไม่ยอมยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 และไม่ยอมใช้การปฏิรูปและพัฒนารัฐวิสาหกิจแทน เพื่อประโยชน์ สูงสุดของคนในชาติ ไม่ยอมนำเอารัฐวิสาหกิจที่แปรรูปไปแล้วกลับคืนมาเป็นของรัฐดังเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปตท.

3. ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับประชาชนในการสร้างการเมืองใหม่ เพื่อให้เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง ไม่ให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง คนไม่ดีกลับมีอำนาจ ประชาชนทุกภาคส่วน และทุกสาขาอาชีพไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมทางการเมือง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือว่าการเข้าสู่อำนาจของบุคคลใดก็ตามที่มีจุดยืนดังกล่าวข้างต้น เป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองของฝ่ายที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ไม่ปรารถนาดีต่อประเทศชาติ เป็นฝ่ายที่แสดงเจตนาที่จะไม่เคารพกฎหมายและเหตุผล เราจึงขอยืนหยัดใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อชุมนุมอย่างสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธต่อไปในทำเนียบรัฐบาลและขอปฏิเสธรัฐบาลที่มีลักษณะ

ดังต่อไปนี้

1. เราไม่ต้องการ "นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด หรือรัฐบาลผสมที่มีส่วนร่วมจากพรรคพลังประชาชน" ซึ่งหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศไปนานแล้ว กระทำผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถจะเชื่อได้ว่าจะปฏิบัติตามแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 21/2551 ด้วยความจริงใจ 2. เราไม่ต้องการ "รัฐบาลแห่งชาติ ที่มาจากการส่งตัวแทนทุกพรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล" เพราะจะทำให้เกิดการสมยอมกันในทางการเมือง ขาดการถ่วงดุลตรวจสอบในสภาผู้แทนราษฎร จึงย่อมไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เช่นกัน

3. เราไม่ต้องการ "บุคคลที่เคยตระบัดสัตย์ต่อคำมั่นสัญญา ต่อมวลมหาประชาชนมาเป็นนายกรัฐมนตรี" ซึ่งไม่สามารถที่จะเชื่อถือต่อคำมั่นสัญญาใดๆ ที่จะปฏิบัติตามแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 ในอนาคตได้

4. เราไม่ต้องการการรัฐประหาร เพื่อกลุ่มผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง และไม่ปฏิบัติตามแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือว่า วิกฤตการเมืองครั้งนี้ได้มาถึงทางตัน ไม่อาจจะแก้ไขได้ด้วยวิธีการเดิมๆ จึงขอเสนอทางออกด้วยการให้มี "รัฐบาลประชาภิวัฒน์" ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้

1. ส่งเสริมให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง มิให้คนไม่ดีมีอำนาจ ขอให้นักการเมืองในรัฐสภายอมเสียสละพื้นที่ของตัวเอง ยอมให้บุคคลที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย มีความสามารถ และมีความจริงใจในการแก้ไขวิกฤตของบ้านเมือง ให้เข้ามาบริหารประเทศชั่วคราวโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของ กลุ่มการเมือง และปราศจากตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ของกลุ่มทุน

2. ให้รัฐบาลประชาภิวัฒน์เข้ามาดำเนินการภารกิจเฉพาะกิจ เพื่อแก้ไขวิกฤตของบ้านเมืองตามแนวทางในแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สะสางความอยุติธรรมทั้งปวงและคืนความยุติธรรมกลับสู่สังคมไทย

3. รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะต้องเป็นกลุ่มคนที่พร้อมปฏิรูปการเมืองร่วมกับประชาชนด้วยความจริงใจ เป็นแกนกลางระดมความร่วมมือจากองค์กรประชาชนทุกภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพ เพื่อกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศชาติร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาสร้างสรรค์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งเนื้อหา รูปแบบ โครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมือง ที่อยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง เพื่อความเป็นธรรมในสังคม และรับผิดชอบโดยให้ประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบได้อย่างแท้จริง

4. รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะร่วมกำหนด "วาระแห่งชาติ" ที่แท้จริง และครอบคลุมปัญหาและความเรียกร้องของประชาชนทุกภาคส่วน และทุกสาขาอาชีพ

5. รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะร่วมกับประชาชนเพื่อทำให้เกิด "สภาประชาภิวัฒน์" ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย กว้างขวาง เพื่อนำพาประเทศให้พ้นจากวิถีการเมืองแบบเดิม ที่เอื้อต่อการทุจริต คอร์รัปชัน ใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อหลบเลี่ยงจากการตรวจสอบ และไม่ตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชน การก่อกำเนิดของรัฐบาลประชาภิวัฒน์ และการปฏิบัติตามเงื่อนไขในแถลงการณ์ ฉบับ 21/2551 เท่านั้น จะเป็นแนวทางในการแก้ไขวิกฤตของชาติได้

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

ณ ทำเนียบรัฐบาล





ข้อมูลอ้างอิงมาจาก http://www.kapook.com/
ภาพจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

MISS.EI TIP ID 5131202091

เลิกพรก.ฉุกเฉิน ตั้งอนุพงษ์ ตามสถานการณ์


หลังจากที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครไปเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บหลายสิบราย แต่ผลจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับไม่ได้ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย กลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายดังกล่าว
กระทั่งเมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 ก.ย.ที่กองบัญชาการกองทัพไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการ ครม. พล.อ.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นางโฉมศรี อารยะศิริ รองเลขาธิการ ครม. นายอัชพร จารุจินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อยกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อมาเวลา 11.25 น. นายสมชายเปิดแถลงว่า ตามที่รัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยประกาศดังกล่าวมอบให้ ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 2 ก.ย.นั้น จากสถานการณ์ปัจจุบันประเมินแล้ว เห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงต่างๆลดลงถึงระดับที่ไม่เกิดผลกระทบต่อประชาชน หากมี พ.ร.ก.ดังกล่าวอยู่ จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม ตนในฐานะรองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ขอยกเลิกประกาศการใช้ พ.ร.ก.ดังกล่าว ให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
นายสมชายกล่าวว่า ส่วนการควบคุมสถานการณ์ นั้น มีการคาดการณ์ว่าต่อไปนี้จะไม่มีเหตุรุนแรงอีก แต่ เพื่อให้แน่ใจ จึงต้องมีผู้ดูแลและประเมินสถานการณ์ต่อเนื่อง จึงต้องมีกองอำนวยการควบคุม ติดตามสถานการณ์ ให้สงบเรียบร้อย โดยมี ผบ.ทบ.เป็นผู้ดูแลเป็นผู้อำนวยการ ประสานงานกับฝ่ายตำรวจ เจ้าหน้าที่พลเรือน เพื่อประเมิน สถานการณ์ ส่วนการปฏิบัติการนอกจากนี้ ตำรวจจะดูแลตามปกติ และข้าราชการฝ่ายอื่นจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยเจ้า พนักงาน ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เกิดความสงบเรียบร้อย รองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ กล่าวด้วยว่า ความขัดแย้งทางความคิดเป็นเรื่องปกติของคนในสังคม และขณะนี้ความขัดแย้งนั้นลดระดับลง ไม่มีปัญหาต่อความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของประชาชน จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายอยู่ในกรอบของกฎหมาย ของประชาธิปไตย สถานการณ์แบบนี้เราต้องเคารพกติกา จะมี พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือไม่นั้น ไม่มีปัญหา ต่อจากนี้การใช้กฎหมายจะเป็นไปตามปกติ คิดว่าเราเป็นคนไทยด้วยกันควรหันหน้าเข้าหากัน ทำความเข้าใจกันทุกฝ่าย เพื่อให้บรรยากาศในบ้านเมืองดีขึ้น จะได้มีแต่ความสงบ

นายสมชายกล่าวอีกว่า ขอร้องให้เคารพกติกา เพื่อให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เพื่อชาติ เพื่อกษัตริย์ที่เป็นที่เคารพยิ่งของเรา มุ่งไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ ให้คนทั่วโลกทราบว่ารอยยิ้มของคนไทยกลับมาอีกครั้ง ให้สมกับคำว่าสยามเมืองยิ้ม เป็นการประกาศให้นักท่องเที่ยวกลับมา เอาเงินทองเข้ามาในบ้านเรา เพราะบ้านเรามีบรรยากาศที่ดีขึ้น ต่อจากนี้หากลดความรุนแรง บรรยากาศจากนี้ไปจะเข้าสู่พิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ ที่ดำเนินการอยู่ โดยจะทำทุกอย่างถวายให้สมพระเกียรติ เพราะฉะนั้น ขอให้มุ่งไปทางนี้ ให้ประจักษ์ว่าคนไทยทุกคนล้วนมีหัวใจไปในทางเดียวกัน คือจงรักภักดีในพระราชวงศ์ของเรา และถัดไปจะมีการเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นบรรยากาศที่ดี เข้าสู่ ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
นางสาวพิมลพรรณ น้อยสะปุ๋ง
ID 5131202034

"เพิร์ค"จัดอันดับความน่าเชื่อถือ"ตราชั่งไทย" ขึ้นที่9 นักธุรกิจเทศจับตา"ตุลาการภิวัตน์"ดีจริงหรือไม่

"เพิร์ค" จัดอันดับความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมในเอเชีย ไทยติดอันดับ 9 ดีกว่าจีน เวียดนาม อินโดฯ ส่วนฮ่องกงน่าเชื่อถือมากสุด รองลงมาสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ระบุนักธุรกิจต่างชาติในไทยจับตา "ตุลาการภิวัตน์" จะเป็นผลดีกับประเทศจริงหรือไม่
P { margin: 0px; }
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 14 กันยายน ว่า เพิร์คบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจทำการสำรวจถึงความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของ 12 ประเทศ และเขตเศรษฐกิจพิเศษในเอเชีย ปรากฏว่าไทยรั้งอันดับที่ 9 โดยฮ่องกงครองอันดับความน่าเชื่อถือมากที่สุด ขณะที่กระบวนการยุติธรรมของอินโดนีเซียถูกระบุว่าเลวร้ายที่สุด

ทั้งนี้ การสำรวจดังกล่าวเปิดให้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ประกอบธุรกิจในเอเชีย 1,537 บริษัทให้คะแนนกับกระบวนการยุติธรรมในประเทศที่อาศัยอยู่ โดยคำนึงถึงตัวแปรต่างๆ อาทิ ธรรมาภิบาล กระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ความเป็นอิสระและปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง ตลอดจนประสบการณ์และมาตราฐานการศึกษาของทนายความและผู้พิพากษาก็ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่หยิบยกมาประกอบการพิจารณาเพื่อให้คะแนนกับประเทศและเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กระบวนการยุติธรรมมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดคือ 0 จนถึงเลวร้ายที่สุดคือ 10 คะแนน

เพิร์คอธิบายว่า การสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นของนักลงทุนที่ทำขึ้นเป็นประจำทุกปีแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการให้คะแนนของนักธุรกิจต่างชาติเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมกับการเปิดกว้างของระบบเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ เพราะกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพย่อมหมายถึงการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ดีขึ้น การทุจริตคอร์รัปชั่นที่น้อยลง และระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ดี เนื่องจากการสำรวจดังกล่าวเน้นไปที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต่างๆ ไม่ใช่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ดังนั้น บรรทัดฐานที่สำคัญสำหรับการประกอบธุรกิจ อาทิ สัญญาและข้อตกลงต่างๆ และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาจึงมีน้ำหนักมาก

ในส่วนของกระบวนการยุติธรรมไทยที่อยู่ในอันดับ 9 ได้คะแนน 7 คะแนน ดีกว่าจีนที่ 7.25 เวียดนาม 8.10 และอินโดนีเซียที่ 8.26 ส่วนประเทศและเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กระบวนการยุติธรรมมีความน่าเชื่อถือสูงสุดคือฮ่องกง 1.45 ตามด้วยสิงคโปร์ 1.92 ญี่ปุ่น 3.50 เกาหลีใต้ 4.62 ไต้หวัน 4.93 ฟิลิปปินส์ 6.10 มาเลเซีย 6.47 และอินเดีย 6.50

"ชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในไทยมีความสงสัยและคลางแคลงใจอย่างมาก ว่าแนวโน้มของการแพร่ขยายอำนาจของศาลยุติธรรมหรือตุลาการภิวัตน์จะเป็นผลดีกับประเทศจริงหรือไม่" เพิร์คระบุ

สำหรับอินโดนีเซีย ซึ่งกระบวนการยุติธรรมเลวร้ายที่สุดนั้น เพิร์คชี้ว่า กระบวนการยุติธรรมของอินโดนีเซียก่อให้เกิดการโต้แย้งสูงจนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติ ขณะที่จีนและเวียดนามซึ่งรั้งอันดับท้ายเช่นกันเป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมมีความเกี่ยวพันกับการแทรกแซงทางการเมืองอย่างมาก และพรรคคอมมิวนิสต์ของทั้งสองประเทศต่างก็อยู่เหนือกฎหมาย ส่วนอินเดียและฟิลิปปินส์แม้จะเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ยังคงมีการทุจริตคอร์รัปชั่นสูง ด้านมาเลเซียกระบวนการยุติธรรมได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแทรกแซงทางการเมืองเช่นกัน

นาย พงศธร สายเพ็ชร์ 5131601128 sec.1

นักวิชาการหนุน"มาร์ค" นายกฯรัฐบาลแห่งชาติ

ผศ.สุธรรม ชาตะสิงห์ นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงการตั้งรัฐบาลแห่งชาติว่า เห็นด้วย แต่ไม่ควรเอา ส.ส.ในพรรคซีกรัฐบาลมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยคนที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทุกฝ่ายในประเทศพอจะยอมรับได้ แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ไม่ควรแต่งตั้ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ และจากพรรคการเมืองอื่นๆ มาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงหลัก เช่น มหาดไทย กลาโหม คลัง พาณิชย์ผศ.สุธรรมกล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้ รัฐมนตรีว่าการทุกกระทรวงต้องมาจากผู้ทรงคุณคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถจากนอกสภา หรืออาจรับคำแนะนำการสรรหาจากคณะองคมนตรี เพื่อความชอบธรรมและคัดเลือกคนดีมีความสามารถมาร่วมบริหารประเทศในช่วงนี้ และเป็นการแสดงให้เห็นว่ากลุ่ม ส.ส.ทุกพรรคการเมืองต้องการแก้ไขปัญหาของชาติจริงๆ ไม่ได้หวังมาเพื่อนั่งในตำแหน่งและท้ายที่สุดก็แสวงหาผลประโยชน์แก่พรรคพวกของตนเองเหมือนในอดีตนพ.ระวี มาศฉมาดล ประธานเครือข่ายการเมืองภาคประชาชน จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ที่ประชุม 30 เครือข่ายในจังหวัด เช่น สถาบันอุดมศึกษา กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มพัฒนาสตรี กลุ่มประชาสังคม ระดมความคิดทางออกปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง โดยมีมติ 4 ข้อ
1.ให้รัฐสภาจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล จะทำให้การเมืองเข้าสู่ภาวะวิกฤตมากขึ้น หากพรรคร่วมรัฐบาลยืนยันจัดตั้งรัฐบาลต่อไป จึงขอร้องให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกทั้งหมด
2.ขอให้ข้าราชการไม่รับคำสั่งจากรัฐบาลที่มิชอบ
3.ขอให้ทุกฝ่ายไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบแก้ปัญหา
4.หากรัฐบาลดำเนินการใดๆ ที่ขัดรัฐธรรมนูญ ทางเครือข่ายจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ต่อไป

นาย พรรษ สุขเจริญ 5131601136 sec.1

นี่เป็นสภาพสุดท้ายก่อนที่ประเทศไทยเราจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

นี่เป็นสภาพสุดท้ายก่อนที่ประเทศไทยเราจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
เราได้เห็นอะไรแปลกๆหลายๆอย่าง
ได้เห็นว่าใครคิดเป็นประชาธิปไตย ใครคิดไม่เป็นประชาธิปไตย
สังคมกำลังดีขึ้นทุกวันครับเหมือนผู้ที่มีความคิดไม่เป็นประชาธิปไตย
เขากำลังทิ้งทวนกันใหญ่ประชาชนเท่านั้นที่จะรักษาสังคมของเขา
ประชาชนเท่านั้นที่จะร่วมแก้ไขปัญหาในสังคมของเขา
ประชาชนเท่านั้นจะสร้างสรรค์ระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย
นางสาวภูริดา จุลกะรัตน์ 5131601155 Sec.1

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

ทหารส่งสัญญาณเตือน ไม่รับรองประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ผบ.สส.ยอมรับ ผบ.เหล่าทัพรู้สึกวิตกหาก นปช.จัดม็อบชนพันธมิตรฯ เตือนอย่าใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ไม่รับรองประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เชื่อรัฐบาลจะประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหากสถานการณ์คลี่คลาย วันนี้ (12 ก.ย.) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานปิดหลักสูตร วปอ.รุ่นปี 2550 ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ขอให้ทุกอย่างเป็นไปโดยสงบ ไม่รุนแรง เรียบร้อยดี ส่วนใครจะมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนเป็นทหารไม่ขอพูดการเมือง แต่เชื่อว่าประเทศต้องมีผู้นำ ทั้งนี้ ทหารมีความเป็นห่วงที่จะเกิดสถานการณ์ม็อบชนม็อบ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับทหาร คือ เราไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง ขออย่าให้เกิดความรุนแรง และอย่าทำอะไรที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งทหารก็เฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่ เมื่อถามว่า เหตุการณ์จะย้อนกลับไปสู่ 19 กันยายน 2549 หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวติดตลกว่า “19 กันยายนเขาจัดการอย่างไรนะ ผมลืมไปหมดแล้ว” เมื่อถามว่า นายสมัครเหมาะสมจะกลับเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า “เหมาะหรือไม่ตอบไม่ได้” เมื่อถามว่า ผบ.เหล่าทัพ มีความเป็นห่วงเพราะสถานการณ์รุมเร้ามากขณะนี้ พล.อ.บุญสร้าง พยักหน้าแทนการตอบคำถาม เมื่อถามว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะมีการยกเลิกหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ยังไม่มีความเห็น ขณะนี้ยังต้องดูแลกันอยู่ ซึ่งช่วงสั้นๆ 1-2 วันนี้คงยังไม่ยกเลิก แต่หากเหตุรุนแรงหมดแล้วคงจะยกเลิก เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีใหม่สามารถเปลี่ยนบัญชีรายชื่อนายทหารได้อีกหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า “ทูลเกล้าฯ ไปแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ จะเปลี่ยนก็ต้องปีต่อไปปรับย้ายตามวาระ”
ผู้จัดการ
นางสาวศุภิสรา ประธาน
ID:5131601188
sec:1

เมื่อสิ้น"สมัคร" (เจิมศักดิ์ขอคิดด้วยฅน)

หากผู้อ่านได้เห็นภาพประกอบ ที่นายสมัครนั่งกินอาหาร เอาดินสอแคะเศษอาหารในปาก บนที่นั่งนายกรัฐมนตรี กลางที่ประชุมรัฐสภา จะทดแทนถ้อยคำอีกนับร้อยนับพันคำ เมื่อประเทศไทยสิ้น "สมัคร" จากการเป็นผู้นำประเทศ หรือ เมื่อประเทศไทยหมดคนชื่อสมัคร สังคมไทยคงต้องทบทวน ฟื้นฟู แก้ไขเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของประเทศหลายเรื่อง
1. ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงการเลือกตั้ง เพราะผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทน ต้องมีวัฒนธรรมประชาธิปไตย คือ รู้ว่าเป็นตัวแทนที่ต้องฟังประชาชน มีวัฒนธรรมและสปิริตของประชาธิปไตย คือ พร้อมลาออก ถอนตัว แก้ไขปัญหาด้วยการเสียสละ เพื่อให้ประเทศและสังคมเดินหน้า ก้าวหน้า มิใช่ อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งแล้วเป็นประชาธิปไตยทันที และตลอดไป จะประพฤติปฏิบัติ จะหน้าด้าน ดึงดัน ไม่ฟังใครก็ได้ ไม่ใช้วัฒนธรรมและไม่มีสปิริตประชาธิปไตย
2. การเป็น "หุ่นเชิด" ไม่น่าจะเป็นของดีที่น่าภาคภูมิใจ เพราะขาดจิตวิญญาณ อิสระ เสรีชน ไม่มีจิตวิญญาณที่ทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ เพื่อสังคมส่วนรวม ที่ผ่านมา คนเป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมมีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่ที่อาจคล้อยตามไปว่า "เป็นนอมินีเสียหายตรงไหน" - "เห็นไหม ผมเป็นนายกฯ ไม่ต้องใช้เงินสักบาท" ลองคิดดู ถ้า "คนไทย" คิดและยอมตนเป็น "หุ่นเชิด" ทั้งประเทศจะเป็นอย่างไร
3. ต้องฟื้นฟูสังคมให้ไม่เอาแบบอย่างนายสมัครที่พูดโกหกเป็นอาจิณ จนคิดไปว่า "การพูดเท็จเป็นความจำเป็น" การพูดโกหกแล้วจะได้ดี หรือพูดความจริงเพียงบางส่วน ปกปิดบางส่วน ไม่เป็นไร ตัวอย่างพฤติกรรม "โกหกเป็นอาจิณ" ของนายสมัคร เช่น - เมื่อรับตำแหน่งนายกฯ นายสมัครโกหกคนทั่วโลกว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มีคนตายเพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่ มีคนตายมากกว่า 40 คน และนายสมัครเคยพูดเองเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2520 ที่ฝรั่งเศส ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย ว่ามีคนตาย 48 คน - 4 ก.ย. 2551 นายสมัครพูดว่า "เวลานี้ คนที่ชุมนุมข้างใน (ทำเนียบ) อยากออก แต่กลุ่มพันธมิตรกันไว้ ไม่ให้ออก อย่างนี้มันเกินกว่าเหตุ" นายสมัครในฐานะนายกฯ ลงทุนพูดโกหก เพื่อหวังจะใช้กำลังตำรวจปิดล้อม ไม่ให้ประชาชนเข้าไปร่วมชุมนุมในทำเนียบ แต่ให้ออกได้ เป็นการพูดเท็จอย่างร้ายแรงอีกครั้ง - 7 ก.ย. 2551 นายสมัครอาศัยฐานะนายกรัฐมนตรี พูดความจริงครึ่งเดียวทางโทรทัศน์และวิทยุว่า การทำประชามติเพื่อให้ประชาชนเลือกข้างว่าเห็นด้วยกับพันธมิตรหรือเห็นด้วยกับคณะรัฐมนตรี สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ แล้วอ่านข้อความในมาตรา 165 วรรค 2 แต่เพียงส่วนเดียว เว้นที่จะบอกว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 165 ห้ามทำประชามติเกี่ยวกับความขัดแย้งของตัวบุคคลหรือคณะบุคคล น่าเป็นห่วง หากวัฒนธรรมการพูดพล่อยๆพูดโกหก พูดความจริงครึ่งเดียว ทำให้คนหลงผิด แพร่ระบาดออกไปสู่คนไทย กลายเป็นวัฒนธรรมไทยในอนาคต สังคมไทยจะเป็นอย่างไร พุทธวัจจนะ กล่าวว่า "คนที่พูดโกหก ไม่ทำชั่วไม่มี" เป็นการบอกว่า คนที่ทำชั่ว ทำบาป จึงจำเป็นต้องพูดโกหกเพื่อกลบเกลื่อน ใช่ไหม
4. ต้องฟื้นฟูสังคมให้ไม่นิยมความรุนแรง อย่าเอาแบบอย่างผู้มีอำนาจที่ใช้ความรุนแรง เช่น นายสมัครใช้กำลังตำรวจสลายการชุมนุมที่สะพานมัฆวานโดยอ้างว่าต้องการไปปิดหมายศาล วางแผนให้ นปก. บุกเข้าใช้ความรุนแรงเพื่อจะได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน จนมีคนตายและบาดเจ็บ ต้องให้เยาวชนปฏิเสธความรุนแรง ไม่เอาความรุนแรงเหล่านี้เป็นแบบอย่าง และพึงเข้าใจว่าความรุนแรงไม่ช่วยแก้ปัญหา อย่าเอาแบบอย่างในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่มีความรุนแรงเกิดในรัฐบาลสุจินดา นายสมัครก็เป็นรองนายกฯ ความรุนแรง 6 ต.ค. 2519 นายสมัครก็มีส่วนใช้สื่อปลุกระดมให้เกิดความแตกแยก เกลียดชังนักศึกษาในธรรมศาสตร์ ใส่ความว่ามีอุโมงค์ มีญวนกินเนื้อหมา มีอาวุธสงคราม กระทั่งมีการล้อมฆ่านักศึกษาในธรรมศาสตร์ ทั้งๆ ที่ เป็นสถาบันการศึกษาที่นายสมัครเคยมาพึ่งพาเล่าเรียน ต้องให้คนไทยยึดสันติวิธี และออกมาต่อต้านความรุนแรงที่อยู่ในวิถีคิดของนายสมัคร ที่ขณะนี้ก็ใช้สื่อปลุกระดม มีการจัดตั้งกลุ่มพลังภายนอก และพยายามใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ล้อมปราบประชาชนในทำเนียบ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ล้อมปราบประชาชนในธรรมศาสตร์ 6 ต.ค.2519
5. ต้องฟื้นฟูให้คนไทยรู้จักใช้ "สัมมาทิฐิ" เช่น รู้ว่าคำในพุทธศาสนาว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม" ต้องพิจารณาว่าเป็นความกลัวที่จะทำดีหรือกลัวที่จะทำเพื่อประโยชน์สังคม โดยที่ประโยชน์ของตนเองอาจเสียหายไปบ้าง ก็ไม่ควรกลัว ความกลัวเช่นนี้จะทำให้เราเสื่อม คือ ไม่สามารถทำความดี อย่าเอาอย่างนายสมัคร ที่มี "มิจฉาทิฐิ" อ้างคำว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม" แต่กลายเป็นไม่กลัวที่จะเอาชนะ ไม่กลัวที่จะดันทุรัง ดื้อด้าน เลยขาดความ "ละอาย" ลองคิดดู ถ้าต่อไป สังคมไทยยึดถือแนวทางอย่างนายสมัคร ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ขนาดคุณเตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาออก เพราะลำบากใจที่จะอยู่ทำงานกับรัฐบาลนายสมัคร นายสมัครก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว กลับออกมาบอกว่านายเตชเป็นราชการมาก่อน ไม่ใช่นักการเมือง เหมือนกับจะบอกว่า ไม่ทนทาน ดื้อด้าน เหมือนนักการเมืองในระบอบทักษิณ
6. สังคมไทยต้องฟื้นฟูความรับผิดชอบต่อสังคม คนไทยต้องไม่ใช้ความคิดที่ว่า "เราจะไม่ยอมสูญเสียผลประโยชน์ของกลุ่มเรา แม้ประเทศโดยรวมจะดีขึ้น" จากคำพูดที่ว่า "ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา" โดยอ้างว่าเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย ซึ่งความจริง "ยุบสภา ลาออก" ล้วนเป็นกระบวนการแก้ปัญหาในระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น นายสมัครคิดเอาเองว่า การยุบสภาหรือลาออกเป็นการยอมแพ้ เมื่อตนเองมาจากการเลือกตั้งแล้วต้องถูกต้องเสมอ ยอมไม่ได้ ถ้าตัวเราจะพ่ายแพ้ นายใหญ่นายหญิงเราจะพ่ายแพ้ ก็ให้บรรลัยฉิบหายไปด้วยกัน วัฒนธรรมแบบนี้ ต้องได้รับการแก้ไข ฟื้นฟูโดยด่วนที่สุด
7. วัฒนธรรมหยาบช้า พูดคำหยาบ แสดงกริยาหยาบคาย ยืนจ้องหน้านักข่าว หลบเข้าส้วม ทำอารมณ์เสีย กลบเกลื่อน ไม่ตอบคำถามนักข่าว การกินอาหาร กัดแทะชิ้นเนื้อ ในห้องประชุมรัฐสภา บนที่นั่งประชุมของนายกรัฐมนตรี เอาดินสอจิ้มฟันเพื่อเขี่ยเศษเนื้อที่ติดไรฟัน รวมไปถึงการดื่มน้ำจากขวดในที่ประชุมระดับชาติที่มีการถ่ายทอดไปทั่วโลก เป็นแบบอย่างที่หยาบคาย รสนิยมต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่เหมาะสม จริงอยู่ พฤติกรรม อากัปกริยา ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของคนที่เติบโต ถูกเลี้ยงดูมา แต่การเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนให้อยู่ในสังคมที่อารยะอย่างคนอื่นเขาก็เป็นสิ่งที่ควรทำมิใช่หรือ โดยเฉพาะเมื่อตนต้องมาเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศ หรือว่า เคยมีความหยาบอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น และหยาบอย่างไร ก็ต้องแสดงออกไปอย่างนั้น แก้ไขสันดานไม่ได้ ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงภาพสะท้อนของวัฒนธรรม และความรู้สึกนึกคิดบางอย่าง ที่สังคมไทยจะต้องช่วยกันฟื้นฟู ปรับเปลี่ยน แก้ไข ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและประชาธิปไตยที่แท้จริง ทันที.. เมื่อสิ้น "สมัคร" !

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
นาย พงศธร สายเพ็ชร์ 5131601128 sec.1

ยุบสภาคือทางเลือกที่ดีที่สุดของประเทศไทยตอนนี้

พูดตามตรงถึงแม้ว่าท่านสมัครจะไม่ได้มาเป็นนายกฯแล้ว
พปช.เลือกคนอื่นขึ้นมา เป็นนายกฯแทน พันธมิตรก็จะยังไม่เลิกชุมนุม ประเทศไทยก็ยังถูกแบ่ง ออกไปเป็นฝักเป็นฝ่าย เข้าใจว่าถ้าทางรัฐบาลคงไม่ยอมถอยแน่เพราะ ไม่อยากให้พันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ รัฐบาลต้องการรักษาประชาธิปไตยเอาไว้ แล้วประชาธิปไตยที่พยายามรักษาไว้เนี่ยทำเพื่ออะไร ตอนนี้ประเทศชาติกำลัง จะพังพินาศแล้ว คนไทยแบ่งพรรคแบ่งพวก เศรษฐกิจของประเทศก็กำลังดิ่งลงเหว นักท่องเที่ยวก็หดหาย เงินที่เค้าจะเอามาใช้จ่าย ในประเทศเราก็หายไปหมด นักลงทุนก็ไม่กล้ามาลงทุน ไม่นำเงินเข้ามาในประเทศเรา ยุบสภาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ พันธมิตรก็จะไม่มีข้ออ้างที่จะชุมนุมยึดทำเนียบต่อ คนส่วนใหญ่ก็จะบีบให้ พันธมิตรต้องแยกวง สถานการณ์ของประเทศเราก็จะกลับมาเป็นปกติ นักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างประเทศก็จะกลับมาเศรษฐกิจบ้านเราก็จะฟื้นตัวกลับมา อย่าเอาชนะคะคานกันเพราะเรื่องยอมแพ้กันไม่ได้ อย่างที่พระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของเราที่ว่า จะเอาชนะกันบนซากปลังหักพังแล้วประเทศชาติเราจะชนะได้อย่างไร แพ้ทั้งคู่ยุบสภาแล้วมาว่ากันใหม่ ไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะประเทศชาติเราก็จะไม่พังพินาศลงไปกว่านี้




นางสาวภูริดา จุลกะรัตน์ 5131601155 Sec.1

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

สภาล่มส.ส.แหยง หมัก สั่งเลื่อนประชุม17ก.ย.

สภาล่ม! ส.ส.แหยง “หมัก” นั่งนายกฯ สั่งเลื่อนประชุม 17 ก.ย.


ส.ส.พรรคพลังประชาชน ตีรวนไม่ยอมเข้าร่วมประชุม ส่งผลให้สมาชิกมีเพียง 161 เสียง ไม่ครบองค์ประชุม ไม่สามารถเสนอชื่อ “สมัคร” ได้ทำให้การลงมติเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 17 ก.ย.นี้ วันนี้ (12 ก.ย.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.30 น. นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้กดออดเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาวาระพิเศษคัดเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ปรากฏว่านายชัยต้องกดออดหลายครั้งจนสมาชิกมาร่วมลงชื่อเกินกึ่งหนึ่งตามจำนวน 262 คน จึงเปิดประชุมได้ เมื่อเริ่มการประชุม นายชัยได้อ่านรายงานผลการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเหตุให้นายสมัคร สุนทรเวช ต้องหลุดพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ดังนั้นจึงได้มีการเรียกประชุมสมาชิกเพื่อให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามข้อบังคับการประชุม จากนั้น นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นนายชัยได้ให้สมาชิกทำการเสียบบัตรคะแนนเพื่อให้สมาชิกสนับสนุนของนายบัญญัติ ปรากฏว่ามีผู้ร่วมประชุม 145 คน ให้การสนับสนุน 144 คน งดออกเสียง 1 คน ทำให้นายชัยกล่าวว่าขณะนี้มีสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุม ด้านนายสุขุมพงษ์ โง่นคำ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายเสนอให้นับองค์ประชุม เนื่องจากตามข้อบังคับองค์ประชุมระบุว่า การพิจารณาจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง และให้มีเวลาการลงคะแนนเพื่อเลือกนายกฯ 30 วัน จึงขอเสนอให้นับองค์ประชุมก่อน เพราะขณะนี้มั่นใจว่าสมาชิกไม่ครบองค์ประชุมแน่นอน ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นกล่าวแย้งว่า นายชัยควรจะต้องดำเนินการประชุมต่อไป โดยให้เสนอชื่อบุคคลอื่นเข้ามาอีก เพื่อให้สมาชิกได้ลงคะแนน หากไม่ได้เสียงครบ 236 แสดงว่าได้ไม่ครบ จากนั้นจึงควรจะให้นายสุขุมพงษ์เสนอชื่อคนที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯ อย่างไรก็ตาม ส.ส.ประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นให้นายชัยดำเนินการต่อไป โดยไม่ต้องนับองค์ประชุม จากนั้นนายชัยก็ให้สมาชิกเสียบบัตรแสดงตนเพื่อนับองค์ประชุม โดยอ้างว่านายสุขุมพงษ์ขอให้ใช้เอกสิทธิ์นับองค์ประชุมก็ต้องดำเนินการตามนั้น แต่ปรากฏว่ามีเสียงในสภา 161 เสียง ซึ่งถึงว่าไม่ครบองก์ประชุม นายชัยจึงได้แจงต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้มีผู้เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียว แต่องค์ประชุมไม่ครบจึงของเลื่อนออกไปเป็นสัปดาห์หน้าในเวลา 09.30 น. ขณะที่ นายสุเทพ เสนอให้นับใหม่ โดยอ้างว่า เฉพาะส.ส.ปชป.ก็เกินองค์ประชุมแล้วจึงเสนอให้นับองค์ประชุมโดยการถามชื่อ ด้านนายชัยได้กดออดเรียกสมาชิกถี่ๆ 2 ครั้งติดกัน จากนั้นก็กล่าวว่าตนได้เรียกสมาชิกเข้าหอประชุมแล้วแต่ก็ไม่มีใครมา ดังนั้นจึงขอให้เลื่อนการประชุมนี้ออกไปเป็นวันพุธหน้า (17 ก.ย.) จึงขอปิดการประชุม
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์


นางสาวศุภิสรา ประธาน
ID:5131601188
sec:1

สมัครไม่ถอย-นั่งนายกฯต่อ ประกาศสู้เพื่อรักษาปชต.




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.00 น. ที่ผ่านมา (11 ก.ย.) ที่พรรคพลังประชาชน มีการประชุมพรรคเป็นกรณีพิเศษอีกครั้ง โดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน เรียกประชุมพรรคด่วนเป็นครั้งที่ 2 ในวันเดียวกัน จากนั้นเวลา 20.00 น. ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงถึงผลการประชุมว่า วันนี้มีแกนนำและ ส.ส.เข้าประชุมพร้อมเพรียง โดยนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค ได้เข้าร่วมประชุมด้วย โดยนายสมัครยืนยันต่อที่ประชุมว่ายังมุ่งมั่นกลับมาทำงานให้กับประชาชน เพราะเห็นว่ายังมีภาระหน้าที่ต้องทำต่อ เพื่อชาติ ประชาธิปไตยเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องครอบครัวเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องรอง เชื่อว่าในวันที่ 12 ก.ย. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ส.พลังประชาชนจะเลือกตนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า นายสมัคร กล่าวในที่ประชุมว่า ขอขอบคุณ ส.ส. เมื่อมีมติเช่นนี้ก็พร้อมน้อมรับ แม้คุณหญิงจะบอกให้ตนถอย อย่าสู้ เพราะวันนี้มีบันไดให้ลงก็ลงได้แล้ว แต่ตนก็จะสู้เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย อายุ 73 แล้ว รับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมานานแล้ว การกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้มีภารกิจใหญ่ 2 ประการ คืองานพระราชพิธีของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และอยู่เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย ให้การเมืองเดินไปได้ รัฐสภายังอยู่ รักษากติกาบ้านเมือง ไม่ให้การเมืองนอกกติกา ประเภทรัฐบาลแห่งชาติ การเมืองใหม่ 70-30 เข้ามา จะอยู่รับใช้พระบาทเต็มที่ ขอให้รอดูการโปรดเกล้าฯ นายสมัครกล่าวด้วยว่า ขอให้พวกเราทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 25 ก.ย. เพราะคดีนี้มี 3 ศาล และเป็นแค่คดีลหุโทษ จะสู้จนถึงศาลฎีกาเชื่อว่าศาลจะเห็นใจ ที่มีคนบอกตนจะติดคุกเลย มันไม่ใช่ ศาลคงไม่ทำขนาดนั้น จะสู้โดยยกกรณีของ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ ที่อุทธรณ์ได้ มีการขยายเวลารอลงอาญา และจะดำเนินการเรื่องของคดีเอง
พิมลพรรณ น้อยสะปุ๋ง
ID 5131202034

เบื้องหลัง ทำไมนายกฯต้อง"สมัคร"



แม้ความคิดเห็นของ ส.ส.พรรคพลังประชาชน จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ในการสนับสนุน "สมัคร สุนทรเวช" หัวหน้าพรรคให้กลับเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยกลุ่มเหนือ-กลาง-อีสานเหนือ กว่า 100 คน แสดงจุดยืนไม่สนับสนุน "สมัคร" กลับมาเป็น "นายกรัฐมนตรี" หนที่ 2 โดยยกเหตุผลเรื่องกระแสต่อต้านจากสังคม พรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งเรื่องใหญ่อย่างคดีหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่ศาลชั้นต้น พิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำร้องขอเลื่อนฟังคำ พิพากษาในวันที่ 25 กันยายน แต่อีกกลุ่มที่ประกอบด้วย กลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ใกล้ชิดกับ นายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งมี ส.ส.ในมือกว่า 80 คน และกลุ่มเพชรบูรณ์ ของ "สันติ พร้อมพัฒน์" รมว.คมนาคม อีกกว่า 30 คนนั้น เดินเครื่องเต็มที่ที่จะผลักดัน "สมัคร" กลับมานั่ง "เก้าอี้นายกรัฐมนตรี" อีกครั้ง แม้จะรู้ว่านั่นเป็นการ "ราดน้ำมันลงบนกองไฟแห่งความขัดแย้ง" ก็ตาม ดูเหมือนว่าแนวคิดที่จะเข็น "สมัคร" กลับไปเป็น "นายกรัฐมนตรี" อีกครั้ง จะได้รับการสนับสนุนจากส่วนต่าง "10 กว่าเสียง" ของบรรดาแกนนำพรรคอย่าง "สมพงษ์ อมรวิวัฒน์, สมชาย วงศ์สวัสดิ์" รองหัวหน้าพรรค หรือ "นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีชื่อเป็นแคนดิเดตเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอยู่ด้วย ด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างกัน คือ ในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้ ไม่มีแกนนำพรรคพลังประชาชนคนไหนหาญกล้าเข้ามาถือ "เผือกร้อน" และใน "สถานการณ์ร้อน" จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ "คนแก่พรรษาการเมือง" อย่าง "สมัคร" ที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว เข้ามารักษาการไปอีกระยะหนึ่ง เพื่ออาศัยความอึดให้ผ่านพ้นช่วงโยกย้าย "ข้าราชการระดับสูง" และได้เริ่มใช้ "พ.ร.บ.งบประมาณปี 2552" สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือกับอุบัติเหตุทางการเมืองอื่นๆ ไปให้ได้อีกระยะ แน่นอนว่าสามารถใช้ตรงนี้เป็นข้อต่อรองกับ "พรรคร่วมรัฐบาล" อื่นๆ ได้อีกจุด เพราะในภาวะเช่นนี้ไม่มีนักการเมืองค่ายไหนอยากให้เกิดการ "ยุบสภา" และเลือกตั้งใหม่ แต่จุดที่สำคัญที่สุดน่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่ "ตุลาการภิวัตน์" ซึ่ง "บิ๊กพลังประชาชน" คิดว่าเป็นอุปสรรคกับความอยู่รอดของพรรคหากย้อนไปตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคพลังประชาชน ก็มีทั้งคดีใบเหลือง-ใบแดง หลายพื้นที่ ส่งผลมาถึง "คดียุบพรรคพลังประชาชน" จาก "ใบแดง" ของ ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรค ไล่มาจนคุณสมบัติรัฐมนตรี ที่ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งไป อย่าง "ไชยา สะสมทรัพย์" และ "วิรุฬ เตชะไพบูลย์" แม้กระทั่งคดีความต่างๆ ของ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่ล่าสุด ถึงกับยืนเหยียบอยู่บนผืนแผ่นดินไทยไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับ "พลพรรค พปช." ไม่น้อย ดังนั้น ที่ผ่านมากิจกรรมหลายอย่างและคำพูดของแกนนำแต่ละคน จึงออกมาแบบที่มีกลิ่นของความท้าทาย "ตุลาการภิวัตน์" แม้กระทั่ง "สมัคร สุนทรเวช" ยังเคยตำหนิอย่างรุนแรงถึง "คดีบางคดีไม่อยู่ในรัฐธรรมนูญก็ยังเอาไปตัดสินกันได้" ในระหว่างการประชุมพรรคพลังประชาชน เพื่อเคลียร์ใจกับ ส.ส. กับข้อกล่าวหาเรื่อง "เอาใจออกห่าง" ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วงกลางเดือนสิงหาคมจนล่าสุด "คดีชิมไปบ่นไป" ก็ทำให้ "สมัคร" ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ไปอย่างง่ายดาย ซึ่งได้ความสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับ "สมัคร" และ "พลังประชาชน" อย่างมาก บรรดาแกนนำ "สายเหยี่ยว" จึงได้เตรียมการที่จะทำให้สังคม เห็นในสิ่งที่ "พรรคพลังประชาชน" อุปโลกน์ขึ้นมาว่าไม่เป็นธรรม การดัน "สมัคร" ขึ้นมาเป็น "นายกรัฐมนตรี" อีกครั้ง ใน 3 วันให้หลังจาก "ศาลรัฐธรรมนูญ" วินิจฉัยให้ขาดคุณสมบัติ แล้วในขณะเดียวกัน วันที่ 25 กันยายน ศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาคดี "สมัคร" หรือไม่ จึงเป็นการเสี่ยงดวง บนความท้าทาย "ตุลาการภิวัตน์" อย่างยิ่ง ซึ่ง "สมัคร" เองก็รู้ตัวดี เพราะในวงประชุมระหว่างแกนนำพรรคพลังประชาชนที่เข้าไปพบที่บ้านพักหมู่บ้านโอฬาร ซอย นวมินทร์ 81 เพื่อให้ "สมัคร" ได้ตัดสินใจว่าจะกลับมารับตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" อีกครั้งหรือไม่ จึงไม่แปลกที่มีคำพูดของ "สมัคร" เกี่ยวกับอนาคตของตัวเองที่แขวนไว้กับ "ตุลาการภิวัตน์" หลุดออกมาว่า "ขณะนี้สังคมจับตาดูอยู่ หากใครคิดที่จะกลั่นแกล้งก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน"
นาย พงศธร สายเพ็ชร์ 5131601128 sec.1

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

วันตัดสิน !!!

ภายหลังจากที่พรรคพลังประชาชนมีมติ ที่จะเสนอชื่อนายสมัคร สุนทรเวช ให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง หลังถูกตัดสินให้สิ้นสุดสภาพ ไปเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมานั้น ก็ได้มีการเข้าไปพูดคุยกับนายสมัครถึงบ้านพัก ซ.นวมินทร์ 81 โดยได้ทาบทามนายสมัครให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง ซึ่งนายสมัคร ก็ได้ตอบตกลง แต่ทั้งนี้ ต้องรอความชัดเจนจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 12 ก.ย.

คุณคิดว่าวันที่ 12 ก.ย. นี้ นายสมัครจะได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งหรือไม่ เพราะเหตุใด ?


น.ส.พอตา ดำรงค์ศักดิ์
ID: 5131202032
sec:01

จะเลือกอะไร..ระหว่าง นอมินี ทักษิณ กับ นอมินี สนธิ ลิ้มทองกุล

ไม่มีอะไรมากแล้วขณะนี้ ประชาชนต้องเลือก นายกรัฐมนตรีที่เป็น
นอมินี ทักษิณ ที่เคยสร้างผลงานไว้มากมาย กับ นายกรัฐมนตรีที่เป็น
นอมินี สนธิลิ้ม(แก๊งอันธพาลข้างถนน )ที่ฝากผลงานไว้มากมายที่
ทำเนียบรัฐบาลขณะนี้ ประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร
ก็ขอให้ไตร่ตรองว่าาต้องการประเทศให้เป็นแบบไหน ?


ระหว่างระบอบประชาธิปไตย กับระบอบประชาธิปไตย(ตรงไหน ? )แบบใหม่ 70/30

อย่าให้กระแสจากความริษยา ของคนบางกลุ่มนำพาสังคมไทย
ให้ตกต่ำไปกว่านี้เลย !!
เป็นคุณล่ะจะเลือกระบอบไหน ???





นางสาวภูริดา จุลกะรัตน์ Sec.1 5131601155

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ทำไมคนชั่วจึงไม่กลัวกฎหมาย...โดยดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ

“อย่าให้คนชั่วมีอำนาจ”

เหตุ 10 ประการ ที่ทำให้คนชั่วไม่กลัวกฎหมาย ...

1. เขาเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำผิด (เพราะเขา ไม่รู้ดี-ชั่วกระมัง ?)

2.แม้ว่าเขารู้ว่าเขาทำผิด แต่คงหาหลักฐานมัดไม่ได้ (ถ้ามีก็ทำลายเสีย)

3.แม้หาหลักฐานมัดได้ตำรวจคงไม่กล้าจับ (เพราะมีอำนาจเหนือตำรวจ)

4. แม้ถูกตำรวจจับก็คงใช้อิทธิพลย้ายจากหน้าที่ได้

5. แม้ใช้อิทธิพลย้ายจากหน้าที่ไม่ได้ อัยการก็อาจสั่งไม่ฟ้อง

6. แม้อัยการสั่งฟ้อง ศาลก็คงจะไม่ลงโทษ

7. แม้ศาลลงโทษ ก็คงรอการลงโทษ

8. แม้ศาลไม่รอการลงโทษ ก็จะไม่ติดคุก (ไปอยู่เกาะกง,ต่างประเทศ)

9. แม้ติดคุกก็คงอยู่ได้สบาย (เพราะมีเงินจ่าย)

10. แม้หากทุกอย่างตรงไปตรงมาเห็นท่าไม่รอดแน่.....

ก็ แก้รัฐธรรมนูญ ... แก้กฎหมาย...ใช้ ม็อบกดดัน ผู้ร้ายจึงดื้อยา กล้าแข็งขึ้นทุกวัน

คนทำชั่วที่รู้ว่าชั่ว ยังพอกลับตัวได้ แต่คนที่ทำชั่วโดยไม่รู้ว่าชั่วนั้นเขาจะทำชั่วตลอดไป-------------------------------ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) และนิติศาสตร์มหาบัณฑิต (สาขากฎหมายอาญา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เนติบัณฑิตไทย, LL.M. (University of Pennsylvania), ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางกฎหมายอาญา (D.E.A. de sciences criminelles), ปริญญาเอกเกียรตินิยมทางกฎหมายอาญา (l’ Université de Nancy 2); Doctorat en droit pénal, mention très honorables (l’ Université de Nancy 2), รองศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นาย พงศธร สายเพ็ชร์ 5131601128 sec.1

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

“หมัก” บรรลัย! ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ชี้พ้นสภาพผู้นำ



ตุลาการศาล รธน.มีคำวินิฉัยให้ “สมัคร” พ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี กรณีเป็นลูกจ้างจัดรายการชิมไปบ่นไป ตามคำร้องของ กกต.และ ส.ว.พบหลักฐานภาษี ณ ที่จ่าย มัดคอ ปฏิเสธลูกจ้างไม่ออก วันนี้ (9 ก.ย.) คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดย นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ประกอบมาตรา 182(7) ของ นายสมัคร อันเนื่องจากเป็นพิธีกรรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” คำวิจิฉัยศาลรัฐธรรมนูญสรุปใจความเบื้องต้นได้ว่า นายสมัคร ผู้ถูกร้องได้ร่วมดำเนินธุรกิจกับบริษัท เฟช มีเดีย จำกัด ในฐานะพิธีกร แม้จะอ้างไม่ใช่ลูกจ้าง แต่ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องซึ่งเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ย่อมทราบข้อห้ามกฎหมาย ม.267 ดีอยู่แล้ว เพราะเข้าข่ายหมิ่นเหม่ แต่ยังคงร่วมดำเนินธุรกิจเรื่อยมา แต่มาเลิกเป็นพิธีกรก็ต่อเมื่อมีผู้ร้องเรียนถึงกกต. ขณะที่บริษัทเฟช มีเดีย ถือเป็นบริษัทเอกชน ย่อมมุ่งแสวงหากำไร และจะนำรายได้มาแบ่งปันกัน อีกทั้งจากหลักฐานพิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้ถูกร้องได้ทำหน้าที่พิธีกร รายการชิมไปบ่นไป ตั้งแต่เมื่อครั้งออกอากาศทางสถานทีโทรทัศน์ไอทีวี และได้รับค่าตอบแทนเรื่อยมาเดือนละ 80,000 บาท จนกระทั่งมีโลโก้รูปภาพการ์ตูนจมูกชมพู่เป็นโฆษณาไปปรากฏบนจอโทรทัศน์ในช่วงอออกกาศ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ที่ราบกันดีว่าหมายถึงตัวผู้ถูกร้อง ส่วนเรื่องผู้ถูกร้องโต้แย้งว่า ไม่ได้เป็นลูกจ้าง เฟช มีเดีย เพราะไม่ได้รับค่าจ้าง หรือเป็นผู้บริหารในบริษัท ซึ่งต้องวินิจฉัยตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่จากหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย ของกรมสรรพากรได้ยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบว่า ผู้ถูกร้องมีเงินได้จากการเป็นพิธีกรจากบริษัท เฟช มีเดีย ต่อมาเมื่อ 6 ก.พ.2551 หลังผู้ถูกร้องได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมบันทึกเทปกับบริษัทเฟช มีเดีย อีก 2-3 ครั้ง และนำมาออกอากาศอีก โดยผู้ถูกร้องมิได้ดำเนินยับยั้ง โดยใช้รูปจมูกชมพู่เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นชัดว่ามีการร่วมดำเนินธุรกิจกันจริง ส่วนความหมายคำว่า “ลูกจ้าง” ตาม รธน.ผู้ถูกร้องอย่าพยายามหาช่องหลีกเลี่ยง ต้องตีความเจตนารมณ์ วินิจฉัยการเป็นพิธีกรกิจการงานร่วมกับผู้ถูกร้อง มุ่งค้าหากำไรผุ้ถูกร้องต้องได้รับค่าตอบแทนตามฐานะ ม.267 ยังพบว่าข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้องที่รับรายได้เพียงค่าน้ำมันรถ ถือว่าเป็นการให้ขัดแย้งกัน และพบว่า หลักฐานเพื่อปกปิดข้อเท็จจริง ตุลาการศาล รธน.จึงมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง เห็นว่า ผู้ต้องร้องกระทำต้องห้ามขัดต่อ รธน.267 จึงสิ้นสุดความเป็นรมต.เฉพาะตัว แต่ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่
นาย พงศธร สายเพ็ชร์ 5131601128 sec.1

“หมัก” เครียดหนีสื่อ บินกลับ กทม.ลุ้นศาล รธน.ชี้ชะตาชิมไปบ่นไป

นายกฯสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.อุดร เสร็จสิ้น ปัดตอบสื่อถึงการตัดสินใจอนาคตทางการเมือง ก่อนหลบหลีกสื่อ จับเครื่องกองทัพอากาศกลับ กทม.ลุ้นศาล รธน.ชี้ ชิมไปฯขาดคุณสมบัตินายกฯหรือไม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 ก.ย.) การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ จ.อุดรธานี ได้เสร็จสิ้นลงแล้วเมื่อเวลาประมาณ 12.30 น.ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นลง รัฐมนตรีหลายคนในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ยังคงเเบ่งรับแบ่งสู้ต่อท่าทีการทำหน้าที่ของ นายสมัคร สุนทรเวช ที่จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในคดีการจัดรายการชิมไปบ่นไป โดยบอกว่าให้รอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาก่อน ขณะที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้วได้เดินทางออกจากศาลากลาง จ.อุดรธานี ทันที โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีมีสีหน้าที่เคร่งเครียด รอฟังคำวินิจฉัยของศาลที่จะออกมา จากนั้น นายสมัคร ได้เปิดเผยหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเสร็จสิ้น ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินชี้ขาด คดีชิมไปบ่นไปในช่วงบ่ายวันนี้ โดยระบุว่า ขอให้ไปสอบถามจากศาล อย่ามาสอบถามจากตน ขณะที่ปฏิเสธไม่ตอบว่า จะตัดสินใจถึงอนาคตทางการเมืองอย่างไรต่อไป นอกจากนี้ หลังจากนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเสร็จสิ้น ได้เดินทางออกไปจากศาลากลาง จ.อุดรธานี ทันที โดยมีการหลบเลี่ยงให้สื่อมวลชนเกิดความสับสน โดยล่าสุด มีรายงานว่า มีรัฐมนตรีเดินทางกลับกรุงเทพมหานครแล้ว โดยใช้เครื่องบินของกองทัพอากาศ และขึ้นเครื่องที่ค่ายประจักษ์ศิลปาคม ด้านนายธนา เบญจาธิกุล ทนายความของนายสมัคร เดินทางมาถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว กล่าวถึงคดีคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช จากการจัดรายการชิมไปบ่นไป และรายการยกโขยงหกโมงเช้า โดยมั่นใจเรื่องของพยานหลักฐานที่ได้ชี้แจงต่อศาล และยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้รับจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้างของบริษัท ส่วนบรรยากาศที่ศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคดีชิมไปบ่นไป โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดี ในเวลา 14.00 น. ล่าสุด ศาลออกมาขอเลื่อนออกไปเป็น 15.30 น. โดยไม่ชี้แจงเหตุผลในการเลื่อนเวลาออกไป ขณะที่บริเวณด้านหน้าศาลรัฐธรรมนูญ มีกลุ่มผู้สนับสนุน กว่า 30 คน เดินทางมาชุมนุมและส่งเสียงเชียร์นายกรัฐมนตรีตลอดเวลา ล่าสุดเมื่อเวลา 15.35 น.คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เริ่มอ่านคำวินิจฉัยคดี ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของส.ว.และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ในฐานะผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กรณีดำเนินรายการ "ชิมไปบ่นไป" และ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และมาตรา 267 ประกอบ 182 วรรคสาม และมาตรา 91 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการอ่านคำร้อง

นาย พงศธร สายเพ็ชร์ 5131601128 sec.1

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

พปช.พลัดขึ้นเวทีปลุกม็อบต้านพันธมิตรฯ

เมื่อเวลา 16.00 น. แกนนำพรรคพลังประชาชนได้ผลัดกันขึ้นเวทีปราศรัย ที่บริเวณสวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง โดยมีประชาชนหลายหมื่นคนจากจังหวัดโดยรอบเข้าร่วม เช่น จ.หนองคาย ขอนแก่น หนองบัวลำภู เป็นต้น บางคนสวมเสื้อสีแดง , ผูกผ้าพันคอสีชมพู สกรีนข้อความว่า "ปกป้องประชาธิปไตย" โดย นายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรและสหกรณ์ (หรืออีโต้อีสาน) กล่าวปราศรัยเป็นภาษาอีสานตอนหนึ่งว่า นายกฯ สมัคร บอกว่าเป็นคนพูดอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด จะให้ไปพูดเพราะๆอย่างนายอภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) ก็ไม่ได้ ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไล่นายกฯ ตั้งแต่วันแรกที่เป็นรัฐบาล ทั้งที่ยังไม่ได้บริหารบ้านเมืองเลย แล้วอย่างนี้ พี่น้องยังจะยอมหรือไม่

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ขณะนี้บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คล้ายๆเดือนกันยายน 2 ปีที่ผ่านมาเรามี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ มีผลงานเป็นรูปธรรมมากที่สุดตั้งแต่มีนายกรัฐมนตรีมา สุดท้ายบ้านเมืองก็เข้าสู่การรัฐประหาร ในขณะที่คนกลุ่มเดิมใช้วิธีการเดิม แต่นายกฯไม่ใช่คนเดิม เราปวดใจจากเขา การที่โค่นล้มนายกฯ ของเรามาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้จะมาโค่นล้มนายสมัคร อีก แต่เขาทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ เข้ามายึดทำเนียบฯ นอกจากทำนาอย่างเดียว ขอบอกเลยว่าพันธมิตรฯ อย่าประมาท จะต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ ถึงอย่างไรนายกฯ ก็ไม่ยุบสภา

"เอามั้ย นายกฯ ชื่อ จำลอง(พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ) ถ้าไม่เอา เอามั้ย นายกฯ ชื่อ สนธิ (นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ)ถ้ามี 2 ชื่อนี้แล้วเป็นนายกฯ ผมขอฝากสุริยะใส (นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ) เป็น มท.1 จะเอาหรือไม่เอา จะเอาใครซักคน จะให้นายกฯ สมัครลาออกได้อย่างไร ให้รู้กันไปว่า มันอยู่ในนั้น (ทำเนียบ) ได้กี่วัน จะยึดทำเนียบไว้ทำบ้านทำช่องก็เอา ทำเนียบฯ แม้เป็นสัญลักษณ์ ผมจะดูซิว่า ชุมนุมได้ 200 หรือ 300 หรือจะชุมนุมซัก 3 ปี ก็เอา แต่ท้ายที่สุด เราต้องอดทนไม่วอกแวก จะมาไล่นายกฯ ของเราได้อย่างไร" นายณัฐวุฒิ กล่าว

นาย พงศธร สายเพ็ชร์ ID 5131601128 Sec.1

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

คุณคิดว่า "สมัคร" ควรอยู่ หรือ ไป

จากเหตุการณ์ที่เหมือนจะเริ่มคลี่คลายลงเรื่อยๆ
เช่นเหตุการณ์ที่ รวม.ต่างประเทศ ลาออก เพราะเหตุผลทนแรงกดดันไม่ไหว
และอีกหลายๆเหตุการณ์ คุณคิดว่า นายกสมัคร ควรดำรงตำแหน่งอยู่ หรือลาออกจากตำแหน่ง !!!!


น.ส.พอตา ดำรงค์ศักดิ์
ID:5131202032
sec:01

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

ยิง2นศ.รามเจ็บ ขณะเดินเท้าบุกบ้าน "สมัคร" ใช้มอเตอร์ไซค์ซุ่มยิงแถวแฟลตคลองจั่น

พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ ผบก.นครบาล 4 เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก สน.ลาดพร้าวว่า กลุ่มนักศึกษารามคำแห่งกว่า 100 คน รวมกันที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อช่วงหัวค่ำ ก่อนเดินเท้าไปที่หมู่บ้านโอฬาร ซอยนวมินทร์ 81 ซึ่งเป็นบ้านพักของนายสมัคร เพื่อประท้วงและเรียกร้องให้นายสมัครลาออก แต่ปรากฏว่า เมื่อเวลาประมาณ 20.13 น. ระหว่างทางที่บริเวณซอยนวมินทร์ 17 ซึ่งเป็นที่มืด ปรากฏว่า มีคนร้ายขับขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปยังกลุ่มนักศึกษา และมีนักศึกษาได้รับบาดเจ็บ 2 คน คือนายอภิชาติ นาคฤิทธิ์ อายุ 22 ปี ถูกยิงที่ข้อศอกซ้ายฝังใน และนายอนุศักดิ์ เศียรอรุณ อายุ 22 ปี ถูกยิงที่ต้นขาขวาฝังใน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลศรีสยาม ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้รับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างเดินทางไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ขณะที่นักศึกษากลุ่มนี้ เดินเท้ามาถึง บริเวณใกล้เคียงกับแฟลตคลองจั่นเล็กน้อย ได้มีจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่า มิโอ สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เข้ามาชะลอใกล้กลุ่มนักศึกษา ก่อนที่คนนั่งซ้อนท้าย จะใช้อาวุธปืน ไม่ทราบชนิด ยิงเข้ามาในกลุ่มนักศึกษาจำนวน 3 นัด ส่งผลให้นักศึกษาได้รับบาดเจ็บ 2 ราย จนล้มทรุดลงกับพื้น ซึ่งขณะนี้มีพลเมืองดีพบเห็นเหตุการณ์ได้นำขึ้นรถกระบะ นำส่งโรงพยาบลใกล้เคียงทำการรักษาเป็นการด่วนแล้ว
ทั้งนี้ นักศึกษาที่เห็นเหตุการณ์ได้เดินทางไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ สน.ลาดพร้าว

นาย พรรษ สุขเจริญ 5131601136 sec.1

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

ประพันธ์ ยืนยันยังไม่เลื่อนวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.


กกต. 3 ก.ย. - “ประพันธ์ นัยโกวิท” ยังยืนยันวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ตามกำหนดเดิม ขณะเดียวกันเตือนผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หาเสียงอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน เพราะอาจถูกนำมาร้องเรียนในภายหลัง เป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้
นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารการเลือกตั้งให้สัมภาษณ์กรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะขอหารือกับ กกต. เพื่อเลื่อนวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หลังได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ กกต.กทม. ในฐานะผู้รับผิดชอบการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเป็นผู้พิจารณาว่าสมควรเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปหรือไม่ หากเห็นว่าสมควรเลื่อน ก็จะเสนอ กกต.กทม. หาก กกต.กทม.เห็นพ้อง ก็จะส่งเรื่องมาให้ กกต.กลางพิจารณาเป็นขั้นสุดท้าย
"การเลื่อนวัน เลือกตั้งจะต้องมีพฤติการณ์พิเศษ ขณะนี้ยังยืนยันว่า จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ตามกำหนดเดิม เพราะกฎหมายกำหนดว่า หากตำแหน่งผู้ว่าฯ ว่างลง ก็จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ภายใน 45 วัน จะต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป ว่าสมควรเลื่อนวันเลือกตั้งหรือไม่ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีระบุว่า จะใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในช่วงสั้นๆ และถ้าเลื่อนออกไป อาจจะมีผลกระทบต่อแผนงานต่างๆ ที่ กทม.เตรียมเอาไว้ได้" นายประพันธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ ได้เตือนผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ว่า ให้ระมัดระวังในการหาเสียง ควรหลีกเลี่ยงการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน เพราะอาจจะมีผู้นำไปร้องคัดค้านการเลือกตั้งในภายหลัง จนทำให้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายในการเลือกตั้ง จำนวนกว่า 154 ล้านบาท ส่วนการหาเสียงไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองก็สามารถทำได้ เช่นการติดโปสเตอร์แนะนำตัว การหาเสียงผ่านวิทยุ โทรทัศน์ แต่จะต้องคิดเป็นค่าใช้จ่าย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีผู้สมัครบางรายขึ้น เวทีปราศรัยร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สามารถทำได้หรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า ถ้าการชุมนุมเกิน 5 คน ก็ไม่ควรทำ แม้ขณะนี้ยังไม่มีการรับรองให้เป็นผู้สมัครฯ แต่เมื่อรับรองให้เป็นผู้สมัครแล้วก็อาจจะมีปัญหาได้ ส่วนที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า ยินดีออกค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้บาดเจ็บ จากเหตุการณ์ที่ นปก.ปะทะกับพันธมิตรฯ นายประพันธ์ กล่าวว่า ต้องดูว่ากรณีดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในฐานะผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ เพราะถ้าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ก็ไม่ผิดข้อบังคับ
เมื่อ ถามว่า หากการชุมนุมยังไม่ยุติ และมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ นายประพันธ์ กล่าวว่า ถึงอย่างไรการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้น เพราะกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าหากตำแหน่งว่างลง ก็ต้องมีการหาคนใหม่มาแทนตำแหน่งที่ว่างลง. - สำนักข่าวไทยอัพเดตเมื่อ 2008-09-03 19:34:09






นางสาวศุภิสรา ประธาน

5131601188

sec1