วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

"อนุพงษ์"ย้ำใช้แนวทาง"เจรจา"ยุติปัญหาไม่ใช้กำลัง ระบุประตูปฏิวัติถูกปิดตายแล้ว! เกินกำลังผบ.ทบ.ทำได้



"อนุพงษ์"เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบโดยการ "เจรจา" ยึดหลักประชาธิปไตย เผยประตูปฎิวัติถูกปิดตาย เหตุเกินกำลังผบ.ทบ. แนะใช้กลไกรัฐสภาแทน วอนสหภาพฯคิดถึงผลเสียกับประเทศชาติก่อนตัดน้ำ-ไฟ ไม่คุ้มฆ่าหนูตัวเดียวต้องรื้อทั้งบ้าน

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 2 กันยายน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก แถลงถึงการประชุมร่วมหลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลดำเนินการให้เกิดความวุ่นวาย กระทบความเรียบร้อยต่อประชาชนและความมั่นคงของรัฐ กระทบต่อพัฒนาการประชาธิปไตย จึงต้องแก้ไขปัญหาให้สิ้นสุดโดยเร็ว มีคำสั่งดังต่อไปนี้ ให้ผู้บัญชาการทหารบก รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินโดยมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) พล.ท.ธีรเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล(ผบช.ส.) พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และตัวแทนจากเหล่าทัพต่างๆ รวมทั้งปลัดกระทรวงต่างๆ ร่วมแถลงข่าวด้วย

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ได้เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการที่ทำให้สถานการณ์ไม่สงบในกรุงเทพมหานครมีความสงบเรียบร้อยได้ ประชุมปรึกษาหารือกัน สรุปว่า จะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเขตกรุงเทพฯ โดยยึดถือระบอบประชาธิปไตยเป็นหลักในกรอบการดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดการปะทะนำไปสู่การสูญเสีย โดยการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะใช้มาตราการหลายอย่างรวมกัน

1. สร้างความเข้าใจคนในชาติได้ตระหนักปัญหาความขัดแย้งที่ลุกลามไปสู่การปะทะกันโดยไม่ใช้กำลัง ที่ทำให้เกิดความสูญเสียแก่ประเทศ ให้ประชาชนรู้ว่ายังมีแนวทางแก้ปัญหา โดยใช้แนวทางเจรจาพูดคุยและมาตรการอื่นที่ทำได้ ภายใต้สังคมไทยด้วยกัน

2. การดำเนินการสร้างความเข้าใจในภูมิภาคอื่นทั่วประเทศ ให้เข้าใจว่าการเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯจะทำให้ปัญหาลุกลามบานปลายไปอีก ซึ่งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องจะมาตรการนี้ไปใช้ ทั้งฝ่ายปกครอง องค์กรภาคเอกชน ทหารตำรวจในพื้นที่ โดยเฉพาะจะใช้มาตรการทำความเข้าใจมากกว่ามาตรการสกัดกั้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการขัดขืนไม่ยอมปฏิบัติตาม

3.มาตรการดูแล เมื่อมีคนบางกลุ่มเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกันขึ้น ที่ประชุมเห็นว่ากำลังตำรวจกับทหารที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถรักษาสถานการณ์ไว้ได้ โดยใช้มาตรการสกัดกั้นไม่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกัน รวมทั้งเจ้าหน้าที่จะไม่ใช้อาวุธและทุกหน่วยจะบูรณาการร่วมกัน เพื่อไม่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกัน

4.มาตราการการพูดคุยสร้างความเข้าใจ เป็นมาตรการหนึ่งที่ทุกคนในที่ประชุมเห็นตรงกันว่า สถานการณ์ขณะนี้เป็นไปไม่ได้ ที่จะให้สื่อของรัฐอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากเราดำเนินการจะกลายเป็นว่าอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นสร้างความเข้าใจของคนในชาติ ทุกพื้นที่ โดยพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีแนวทางการเจรจากลไกตามกฎหมายในการแก้ปัญหาการเมืองขณะนี้โดยไม่ใช้กำลังเข้าปฏิบัติต่อกัน

หลังจากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ได้กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า หนทางการฝ่าวิกฤติต้องยึดถือกฎหมายเป็นหลัก คำนึงถึงความชอบธรรม ทั้งนี้ยืนยันว่าทหารจะอยู่ข้างประชาชนไม่ใช่ความรุนแรง จะพยายามทำทุกอย่างไม่ให้คนปะทะกันด้วยกำลัง แต่ให้ปะทะด้วยความคิด ส่วนความขัดแย้งทางการเมืองก็ต้องใช้แก้ด้วยการเมือง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ ยืนยันจะปักหลักชุมนุมในทำเนียบฯ ผบ.ทบ. กล่าวว่า ไม่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเฉพาะเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มนปก.และพันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถกำหนดระยะเวลาการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ได้ ส่วนระยะเวลาการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนด

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากภาวะความขัดแย้งของคนสองกลุ่ม ซึ่งฝ่ายบริหารไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม หากต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าวควรจะนำไปสู่สภานิติบัญญัติมากกว่าให้ภาคประชาชนแก้ปัญหา เพราะยากที่จะมีจุดร่วมร่วมกัน

"ผมยังยืนยันว่าเมื่อประตูด้านการใช้กำลังทหารถูกปิดตาย น่าจะไม่มีประตูเหลืออยู่แล้วเป็นกำแพง ก็น่าจะหันไปสู่ประตูที่ไปได้ ประตูนั้นจะเปิดได้ไม่ได้ก็ต้องใช้ประตูนั้นแก้ปัญหา เพราะประตูด้านนี้ไม่มี การใช้กำลังทหารปฏิวัติรัฐประหาร ปัญหาจะตามมีอีกมากมาย ตรงนี้ไม่มีประตูจริงๆ ต้องหันกลับไปที่มีประตู กลไกของรัฐสภาก็ยังมีประตูอยู่" ผบ.ทบ.กล่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า 7-8 เดือนในการบริหารประเทศของนายสมัคร ปัญหาเกิดขึ้นตลอดเวลา ในใจของพล.อ.อนุพงษ์จะคุยให้ลาออกหรือยุบสภา หรือทหารต้องออกมาปฏิวัติเพื่อรักษาประเทศชาติ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า "ถ้าพูดได้แล้วก็ทำได้ ก็คงจะทำแล้ว ท่านได้เรียนแล้วว่าท่านมีเหตุผลตามหลักของท่าน ท่านก็ได้ยินว่ามีประชาชนส่วนหนึ่ง คำตอบก็คือว่าเกินกำลังของผมที่จะสามารถทำได้ในส่วนนั้น"

ต่อข้อซักถามว่า หากการเจรจาไม่ได้ผล แผนต่อไปทหารจะทำอะไร ผบ.ทบ.กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าแก้ภาวะฉกเฉิน ใช้การเจรจา สื่อสารทำความเข้าใจภูมิภาค มีทุกมาตรการไม่ให้ปะทะกัน โดยใช้ช่องทางเจรจา พูดคุย กฎหมายอะไรก็ตาม

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องยอมรับทั้งสื่อโทรทัศน์เอ็นบีทีและโทรทัศน์เอเอสทีวีมีส่วนทำให้สถานการณ์ขยายตัวหรือพัฒนาไปในทางความรุนแรง ซึ่งหากทุกคนยอมรับและเห็นด้วย ก็อาจมีการเจรจาให้ปิดหรือมีมาตรการที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

ต่อข้อซักถามว่า หากพรุ่งนี้(3 ก.ย.) ทางสหภาพต่างๆ ตัดน้ำตัดไฟจนเกิดความโกลาหล ผบ.มีจุดยืนอย่างไรกับการเมือง ว่า ถ้าทำแล้วแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าทำแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ และทำให้ประเทศชาติเสียหาย ทุกคนได้รับผลกระทบ ต้องบอกว่าให้ยับยั้งชั่งใจ หากฆ่าหนูตัวเดียวต้องรื้อหลังคาบ้าน มันก็ไม่คุ้ม ต้องค่อยๆ ทำกันไป เพื่อเป็นส่วนร่วม


จาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1220338665&grpid=00&catid=00

นาย พงศธร สายเพ็ชร์ 5131601128 sec 1

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

อย่าให้มีใครต้องเสียเลือดเสียเนื้อเลย ขอให้ผู้บริหารประเทศได้คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ให้ไทยกับมาเป็นประเทศที่น่าอยู่อีกครั้ง

Democl2acy Group กล่าวว่า...

ถ้ามันเป็นไปตามนี้ก็ดีสิ

ไม่ใช้กำลัง

ไม่มีใครบาดเจ็บ

โห ก็เห็นพูดอย่างงี้ทุกทีแล้วที่บาดเจ็บไปเป็น40กว่าคนแถมตายอีก1นี่คืออะไรล่ะ


Phaduangkieat Thienthaisong
ID5131202028