วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

เลิกพรก.ฉุกเฉิน ตั้งอนุพงษ์ ตามสถานการณ์


หลังจากที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครไปเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บหลายสิบราย แต่ผลจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับไม่ได้ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย กลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายดังกล่าว
กระทั่งเมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 ก.ย.ที่กองบัญชาการกองทัพไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการ ครม. พล.อ.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นางโฉมศรี อารยะศิริ รองเลขาธิการ ครม. นายอัชพร จารุจินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อยกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อมาเวลา 11.25 น. นายสมชายเปิดแถลงว่า ตามที่รัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยประกาศดังกล่าวมอบให้ ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 2 ก.ย.นั้น จากสถานการณ์ปัจจุบันประเมินแล้ว เห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงต่างๆลดลงถึงระดับที่ไม่เกิดผลกระทบต่อประชาชน หากมี พ.ร.ก.ดังกล่าวอยู่ จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม ตนในฐานะรองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ขอยกเลิกประกาศการใช้ พ.ร.ก.ดังกล่าว ให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
นายสมชายกล่าวว่า ส่วนการควบคุมสถานการณ์ นั้น มีการคาดการณ์ว่าต่อไปนี้จะไม่มีเหตุรุนแรงอีก แต่ เพื่อให้แน่ใจ จึงต้องมีผู้ดูแลและประเมินสถานการณ์ต่อเนื่อง จึงต้องมีกองอำนวยการควบคุม ติดตามสถานการณ์ ให้สงบเรียบร้อย โดยมี ผบ.ทบ.เป็นผู้ดูแลเป็นผู้อำนวยการ ประสานงานกับฝ่ายตำรวจ เจ้าหน้าที่พลเรือน เพื่อประเมิน สถานการณ์ ส่วนการปฏิบัติการนอกจากนี้ ตำรวจจะดูแลตามปกติ และข้าราชการฝ่ายอื่นจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยเจ้า พนักงาน ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เกิดความสงบเรียบร้อย รองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ กล่าวด้วยว่า ความขัดแย้งทางความคิดเป็นเรื่องปกติของคนในสังคม และขณะนี้ความขัดแย้งนั้นลดระดับลง ไม่มีปัญหาต่อความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของประชาชน จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายอยู่ในกรอบของกฎหมาย ของประชาธิปไตย สถานการณ์แบบนี้เราต้องเคารพกติกา จะมี พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือไม่นั้น ไม่มีปัญหา ต่อจากนี้การใช้กฎหมายจะเป็นไปตามปกติ คิดว่าเราเป็นคนไทยด้วยกันควรหันหน้าเข้าหากัน ทำความเข้าใจกันทุกฝ่าย เพื่อให้บรรยากาศในบ้านเมืองดีขึ้น จะได้มีแต่ความสงบ

นายสมชายกล่าวอีกว่า ขอร้องให้เคารพกติกา เพื่อให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เพื่อชาติ เพื่อกษัตริย์ที่เป็นที่เคารพยิ่งของเรา มุ่งไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ ให้คนทั่วโลกทราบว่ารอยยิ้มของคนไทยกลับมาอีกครั้ง ให้สมกับคำว่าสยามเมืองยิ้ม เป็นการประกาศให้นักท่องเที่ยวกลับมา เอาเงินทองเข้ามาในบ้านเรา เพราะบ้านเรามีบรรยากาศที่ดีขึ้น ต่อจากนี้หากลดความรุนแรง บรรยากาศจากนี้ไปจะเข้าสู่พิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ ที่ดำเนินการอยู่ โดยจะทำทุกอย่างถวายให้สมพระเกียรติ เพราะฉะนั้น ขอให้มุ่งไปทางนี้ ให้ประจักษ์ว่าคนไทยทุกคนล้วนมีหัวใจไปในทางเดียวกัน คือจงรักภักดีในพระราชวงศ์ของเรา และถัดไปจะมีการเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นบรรยากาศที่ดี เข้าสู่ ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
นางสาวพิมลพรรณ น้อยสะปุ๋ง
ID 5131202034

4 ความคิดเห็น:

ID 5131202034 กล่าวว่า...

จะตั้งไปทำไมค่ะ พรบ.ฉุกเฉิน ในเมื่อมันไม่ทามให้อไรดีเลย มีทั้งคนเจ็บ และคนเสียชีวิต

Porta กล่าวว่า...

เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงได้
ก็สมควรยกเลิก เพราะเป็นกานบอกต่างชาติด้วยว่า
ขณะนี้สถานณ์การบ้านเมืองไทยกำลังไปในทิศทางที่ดีขึ้น เป็นการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง และสุดท้ายเห็นด้วยกับการที่ทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือต้องการให้บ้านเมืองสงบสุขและเพื่อถวายความจงรักภักดีแด่ในหลวงของเรา เพื่อให้พระองค์ท่านมีความสุข และเราคนไทยทุกคนกลับมาอยู่กันอย่างสงบสุขอีกครั้ง ^^

Porta กล่าวว่า...

ถ้าทุกคนเคารพในกติกา กฎหมายบ้านเมือง
ทำทุกอย่างด้วยเหตุและผล ก็คงไม่เกิดความวุ่นวาย
พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ทำให้ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจและนักลงทุนลดลงอย่างมาก สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ เมื่อบ้านเมืองสงบลง การยกเลิกก็ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เท่านั้นยังไม่พอ การแก้ไขปัญหายังคงต้องมีต่อไป ด้วยเหตุผลและการเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว เพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้เพื่อใครเรย เพื่อคนไทยทุกคน เพื่อประเทศไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเราคนไทย

น.ส.พอตา ดำรงค์ศักดิ์
ID:5131202032 sec:01

ID5131202041 กล่าวว่า...

เอาเป็นว่าคนไทยต้องสามัคคีกันเข้าไว้
เพื่อจะได้ไม่เกิดความวุ่นวายในประเทศ
ID5131202041sec-1