วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ตี3 ตร.หลายพันลุยใช้ตะบองปะทะพันธมิตรบุกเข้าทำเนียบแล้ว "การ์ด"ได้เลือดนับสิบ ทะยอยวางกำลังล้อมม็อบ




สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล รายงานเมื่อเวลา 03.00 น. ของเช้ามืดวันที่ 27 สิงหาคมว่า ได้มีตำรวจปราบจราจลพร้อมโล่ห์และตะบองครบชุดหลายพันนายได้มาปักหลักที่บริเวณถนนพิษณุโลก บริเวณด้านสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้พยายามบุกเข้ามาด้านประตู 4 ด้านถนนพิษณุโลก โดยสามารถผ่านเข้าประตูมาได้บางส่วน ปรากฏว่า กลุ่มป้องกันการชุมนุมของพันธมิตร(การ์ด)ได้พยายามผลักดันออกไป จนมีการผลักไสออกนอกประตู แต่กำลังของตำรวจมากกว่า และใช้ตะบองตีกลุ่มพันธมิตรจนหัวแตกนับสิบคน ทำให้ตำรวจปราบจราจลสามารถทะลุประตู 4 เข้ามาได้นับพันคน และระหว่างนี้ ไปปักหลักอยู่บริเวณตึกสันติไมตรี
อย่างไรก็ตาม บนเวทีพันธมิตรในทำเนียบรัฐบาล ยังปราศรัยอย่างต่อเนื่อง โดยกำลังตำรวจที่บุกเข้าทำเนียบฯได้เริ่มทะยอยปิดล้อมกลุ่มผู้ชุมนุม และเพิ่มจำนวนตำรวจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ พล.จำลอง ศรีเมือง ได้ประสานให้ม็อบที่สะพานมัฆวานได้เสริมทัพที่ทำเนียบฯ ด้วย เนื่องจากตำรวจที่เข้าทำเนียบฯได้ ได้เดินเป็นขบวนแสดงพลังและทะยอยปิดล้อมม็อบทีละจุด ทำให้กลุ่มรักษาความปลอดภัยของพันธมิตร ต้องไปตั้งแถวประจันหน้ากับตำรวจปราบจราจล จำนวนมาก ที่หลังตึกไทยคู่ฟ้า นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรอีกกลุ่มหนึ่งไปตั้งแถวประจันหน้าตำรวจที่ถ.พิษณุโลก บริเวณประตู 4 และประตู 7 ด้านคลองผดุงกรุงเกษม
ทั้งนี้ การบุกเข้าทำเนียบฯของตำรวจปราบจราจลครั้งนี้ อ้างว่า เข้ามาเพื่อสับเปลี่ยนกำลังพล และของตั้งศูนย์บัญชาการที่ตึกสันติไมตรี แต่กลุ่มพันธมิตรยังไม่ยอม ทำให้ 5 แกนนำต้องหารือกันอย่างเร่งด่วน



นางสาวภูริดา จุลกะรัตน์ 5131601155 Sec.1



1 ความคิดเห็น:

Democl2acy Group กล่าวว่า...

ไม่เข้าข้างใคร แต่ขอย้อนกลับไปอยู่ระยะกลาง ๆ ถ้าไม่มีพลังพันธมิตรประชาชนอาจใช้ไฟฟ้าราคาแสนแพงเหมือนน้ำมันก็เป็นได้ เพราะตอนนั้นการไฟฟ้ากำลังจะถูกขายทอดตลาดหุ้น แต่ก็ยับยั้งได้ทัน และการชุมนุมยืดเยื้อก็ทำให้เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งของนักการเมือง ที่เมื่อยังไม่ได้เลือกกับหลังจากถูกเลือกในไปนั่งบริหารประเทศ ก่อนหน้าที่ท่านยังไม่ได้ตำแหน่งท่านยกมือไหว้พ่อแม่พี่น้องนอบน้อมต่อ ประชาชน แต่เมื่อท่านถูกเลือกแล้วพวกเราต้องน้อมน้อมต่อท่าน เมื่อก่อนหน้านี้ไม่รู้จักกันแต่เหมือนรู้จักกันแรมปี แต่เมื่อท่านเป็นใหญ่ประชาชนเหมือนสายลมที่พวกท่านมองไม่เห็น ต่างคนก็ต่างแสวงหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดานะ เพราะผู้ทำงานการเมืองก็เป็นอาชีพหนึ่ง ซึ่งทำก็เพื่อรายได้เลี้ยงปากท้องและคนในครอบครัวเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่บ้านเมืองเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ที่ท่านต้องรับผิดชอบ ดังนั้นถ้าท่านทำงานการเมืองด้วยความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวเหมือนนักธุรกิจที่ต้องบริหารให้ได้กำไรสูงสุดอย่าง เดียว ประเทศไทยคงเหลือแต่ชื่อไว้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งเท่านั้นแล